วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551
Anti Virus (หลอก) ไว้ใช้เอง
การสร้าง AntiVirusใช้เอง(แนวคิด)------------------------------------------------------การสร้างไวรัสเทียมขึ้นมาเป็นสิ่งจำเป็น..ตราบใดที่ยังมีการสร้างไวรัสขึ้นมาเพื่อเห็นแก่ความสนุกเมื่อได้แกล้งคนอื่นเขาหรือเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง------------------------------------------------------------------------------------ไวรัสก็คือไฟล์สคิ๊ปคำสั่งที่ไม่ธรรมดา เพราะถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อสร้างความเสียหายให้กับข้อมูลและระบบปฏิบัติการโดยเฉพาะ เช่น เมื่อเครื่องใครติดเชื้อแล้ว ระบบAutoของไวรัสจะทำงาน เข้าไปลบข้อมูลสำคัญที่เราเก็บไว้(หายไปอย่างไร้ร่องรอย หาไม่เจอ)หรือเข้าไปลบหรือเปลี่ยนแปลงสคิ๊ปไฟล์สำคัญต่อการทำงานของระบบปฏิบัติการ ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ และอื่นๆอีกมากมาย แล้วแต่คนสร้างไวรัส ว่าต้องการสร้างความเสียหายให้ในลักษณะไหน ไวรัสบางชนิดก็ฉลาด สามารถพลางตัวเองไม่ให้เราเห็นได้ และมีไวรัสพันธ์ใหม่ๆเกิดขึ้นเรื่อยๆ จึงยากที่จะขจัดให้หมดไป...---------------------------------------------การสร้างไวรัสเทียม ไว้คอยดักทุบ ไวรัสแท้ (แรงไปหรือเปล่าก็ไม่รู้)----------------------------------------------------------------------1.เริ่มจากให้ท่านสร้างไวรัสเทียมขึ้นมาก่อน โดยการเปิดNotepadขึ้นมา เสร็จแล้วคลิ๊กที่File..Save As..ใส่ชื่อ-สกุลไวรัสลงไป ในที่นี้สมมุติว่าเป็น Flashy.exeก็แล้วกัน คลิ๊กSaveเสร็จแล้วให้นำไฟล์ไปวางไว้ในพื้นที่เป้าหมาย3จุด ได้แก่ 1.C:\ 2.C:\Windowsและ3.C:\Windows\System32แต่ในระหว่างนำไฟล์ไปวางในพื้นที่เป้าหมาย แล้วมีหน้าต่างReplaceขึ้นมา แสดงว่า ท่านเจอไวรัสตัวจริงเข้าแล้ว ให้ตอบYesเพื่อวางทับเสร็จแล้ว ให้คลิ๊กขวาที่ไฟล์นั้น ใช้คำสั่งDeleteลบไฟล์ที่วางทับนั้นทิ้งไป และคลิ๊กขวาบนพื้นที่ว่าง ใช้คำสั่งPlsteเพื่อวางไฟล์อีกครั้ง2.เปิดNotepadขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อสร้างไฟล์แบท โดยพิมพ์คำสั่งลงไปดังนี้..-------------------------------------------------------------------------------------------------------------del C:\Flashy.exedel C:\Windows\Flashy.exedel C:\Windows\System32\Flashy.exe--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แก้ไข Canon MP160,MP145 ไฟแจ้ง E5,E2
CANON MP160,150,145
CANON MP160,150 แจ้ง E5 1. ถอดปลั๊กปิดเครื่อง กุดปุ่ม power ค้างไว้ แล้วเสียบปลั๊ก จากนั้นให้กดปุ่ม Stop/Reset 2 ครั้ง แล้วปล่อยพร้อมกัน 2. ให้รอเครื่องนิ่ง หน้าจอจะขึ้น 0 ให้กด + ให้ขึ้น 1 แล้วกด Color 2 ครั้ง เครื่องจะดึงไปพิมพ์ 1 แผ่น หลังจากเครื่องพิมพ์แล้ว 3. เปิดฝาเครื่อง ดึงปลั๊กออก แล้วดึง ตลับหมึกออก จากนั้นปิดฝา แล้วเสียบปลั๊ก เปิดเครื่องให้ถามหาตลับแล้ว เปิดฝาใส่ตลับตามระบบ เป็นอันเสร็จสิ้น ทำแล้วแก้ได้จิงๆ แถมแสดงสถานะหมึกเต็มด้วย
1. ถอดปลั๊กไฟออก
2. กดปุ่ม on/off ค้างไว้ แล้วเสียบไฟ
3. ในขณะที่กด on/off ให้กดปุ่ม stop/reset 2 ครั้ง (ให้สังเกตที่ไฟ Alarm ครั้งแรกจะติด ครั้งที่ 2 ไม่ติด) แล้วปล่อยปุ่ม on/off
4. คอยจนไฟสีเขียวนิ่ง ที่หน้าจอจะขึ้นเลข 0 กดเครื่อง +ให้ตัวเลขเป็น 1
5. กด color 1 ครั้ง ไฟสีเขียวกับไฟ color จะติดพร้อมกัน
6. กดปุ่ม on/off 1 ครั้ง เครื่องจะพิมพ์ออกมา 2 แผ่น ไฟที่หน้าจะขึ้นเลข 0
7. เปิดฝาเครื่องขึ้น
8. ถอดปลั๊กไฟออก แล้วปลดตลับหมึกออกมาทั้ง 2 อัน
9. เสียบปลั๊กไฟพร้อมกับเครื่องโดยที่ยังไม่ปิดฝา เครื่องจะถามหาตลับหมึก
10. ใส่ตลับหมึก ปิดฝาเครื่อง ที่หน้าจอไฟจะขึ้น 1
11.จากนั้นเข้าไปในคอมคุณอีกทีเข้าไปล้างหัวพิมพ์
1.ปิดเครื่อง
2.กด Stop/Rest ค้างไว้
3.กดปุ่ม Powe rค้างปล่อยStop/Reset
4.ยังกด Power ค้างอยู่แล้วกด Stop/Reset 2 ครั้ง
5.ปล่อยมือจากทุกปุ่ม
6.กด Stop/Reset 4 ครั้งสังเกตุจาก ไฟ Alum
7.ปิดเครื่อง แล้ว เปิดใหม่
ส่วนไฟที่ขึ้น E2 นั้น วิธีแก้ก็ง่าย ๆ ครับ เพียงกดปุ่ม Stop/Reset ค้างไว้ประมาณ 5 วินาที แล้วปล่อยก็เป็นอันเสร็จแล้วครับ......ง่าย ๆ แค่นี้เอง....
<<<<>>>>>
CANON MP160,150 แจ้ง E5 1. ถอดปลั๊กปิดเครื่อง กุดปุ่ม power ค้างไว้ แล้วเสียบปลั๊ก จากนั้นให้กดปุ่ม Stop/Reset 2 ครั้ง แล้วปล่อยพร้อมกัน 2. ให้รอเครื่องนิ่ง หน้าจอจะขึ้น 0 ให้กด + ให้ขึ้น 1 แล้วกด Color 2 ครั้ง เครื่องจะดึงไปพิมพ์ 1 แผ่น หลังจากเครื่องพิมพ์แล้ว 3. เปิดฝาเครื่อง ดึงปลั๊กออก แล้วดึง ตลับหมึกออก จากนั้นปิดฝา แล้วเสียบปลั๊ก เปิดเครื่องให้ถามหาตลับแล้ว เปิดฝาใส่ตลับตามระบบ เป็นอันเสร็จสิ้น ทำแล้วแก้ได้จิงๆ แถมแสดงสถานะหมึกเต็มด้วย
1. ถอดปลั๊กไฟออก
2. กดปุ่ม on/off ค้างไว้ แล้วเสียบไฟ
3. ในขณะที่กด on/off ให้กดปุ่ม stop/reset 2 ครั้ง (ให้สังเกตที่ไฟ Alarm ครั้งแรกจะติด ครั้งที่ 2 ไม่ติด) แล้วปล่อยปุ่ม on/off
4. คอยจนไฟสีเขียวนิ่ง ที่หน้าจอจะขึ้นเลข 0 กดเครื่อง +ให้ตัวเลขเป็น 1
5. กด color 1 ครั้ง ไฟสีเขียวกับไฟ color จะติดพร้อมกัน
6. กดปุ่ม on/off 1 ครั้ง เครื่องจะพิมพ์ออกมา 2 แผ่น ไฟที่หน้าจะขึ้นเลข 0
7. เปิดฝาเครื่องขึ้น
8. ถอดปลั๊กไฟออก แล้วปลดตลับหมึกออกมาทั้ง 2 อัน
9. เสียบปลั๊กไฟพร้อมกับเครื่องโดยที่ยังไม่ปิดฝา เครื่องจะถามหาตลับหมึก
10. ใส่ตลับหมึก ปิดฝาเครื่อง ที่หน้าจอไฟจะขึ้น 1
11.จากนั้นเข้าไปในคอมคุณอีกทีเข้าไปล้างหัวพิมพ์
1.ปิดเครื่อง
2.กด Stop/Rest ค้างไว้
3.กดปุ่ม Powe rค้างปล่อยStop/Reset
4.ยังกด Power ค้างอยู่แล้วกด Stop/Reset 2 ครั้ง
5.ปล่อยมือจากทุกปุ่ม
6.กด Stop/Reset 4 ครั้งสังเกตุจาก ไฟ Alum
7.ปิดเครื่อง แล้ว เปิดใหม่
ส่วนไฟที่ขึ้น E2 นั้น วิธีแก้ก็ง่าย ๆ ครับ เพียงกดปุ่ม Stop/Reset ค้างไว้ประมาณ 5 วินาที แล้วปล่อยก็เป็นอันเสร็จแล้วครับ......ง่าย ๆ แค่นี้เอง....
<<<<>>>>>
วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551
โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ (Web browser)
โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ (Web browser)
โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ โปรแกรม Microsoft Internet Explorer (IE) และโปรแกรม Netscape Navigator
สำหรับคอมพิวเตอร์พีดีเอและโทรศัพท์มือถือ เรียกว่า ไมโครเบราว์เซอร์ (microbrowser) บางครั้งก็เรียกว่า มินิเบราว์เซอร์ (minibrowser)
ข้อมูลที่แสดงบนโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ จะมีลักษณะคล้ายหน้าเอกสาร เรียกว่าเว็บเพจ (Web page) โดยหน้าแรกของเว็บเพจจะเรียกว่า โฮมเพจ (home page)
การเข้าไปยังเว็บเพจของเว็บไซต์ใด ๆ ผู้ใช้จะต้องระบุที่อยู่ (Web address) โดยใช้ uniform resource location หรือ URL เพื่อชี้ไปยังตำแหน่งของ แหล่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต บริษัทและองค์การต่าง ๆ นิยมกำหนดชื่อ URL ให้เด่นและจดจำง่าย เพื่อประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์ชื่อเว็บไซต์ทางสื่อต่าง ๆ
URL โดยทั่วไปมีรูปแบบและส่วนประกอบดังนี้
Protocol://domain name/path/
ตัวอย่างเช่น
(1) http://www.siam.edu
โพรโตคอลคือ http ซึ่งย่อมาจาก hypertext transfer protocol, ชื่อโดเมนคือ www.siam.th.edu
(2) http://tpt.nectec.or.th/Project/Nsc/Nsc.htm
โพรโตคอลคือ http, ชื่อโดเมนคือ tpt.nectec.or.th, ชื่อโฟลเดอร์คือ projects/Nsc และชื่อแฟ้มคือ nsc.htm
(3) ftp://bc.siamu.ac.th
โพรโตคอลคือ ftp ซึ่งย่อมากจาก file transfer protocol, ชื่อโดเมนคือ bc.siamu.ac.th
ในการพิมพ์ที่อยู่ของเว็บไซต์ ผู้ใช้สามารถละ http:// และ www ได้ เช่น เว็บไซต์ http://www.google.co.th สามารถพิมพ์เพียง google.co.th เท่านั้น
โปรแกรมค้นดูเว็บ หรือ เว็บเบราว์เซอร์ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล (HTML)ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์หรือระบบคลังข้อมูลอื่นๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนสื่อในการติดต่อกับเครือข่าย หรือ เน็ตเวิร์คขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ
โปรแกรมค้นดูเว็บเชื่อมโยงกับเว็บเซิร์ฟเวอร์ผ่านมาตรฐานหรือโปรโตคอลแบบ เอชทีทีพี (HTTP) ในการส่งหน้าเว็บ หรือเว็บเพจ ปัจจุบันเอชทีทีพีรุ่นล่าสุดคือ 1.1 ซึ่งสนับสนุนโดยโปรแกรมค้นดูเว็บทั่วไป ยกเว้นอินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์ที่ยังสนับสนุนไม่เต็มที่
ที่อยู่ของเว็บเพจเรียกว่ายูอาร์แอล (URL) หรือยูอาร์ไอ (URI) ซึ่งรูปแบบมักจะเริ่มต้นด้วยคำว่า http:// สำหรับการติดต่อแบบเอชทีทีพี โปรแกรมค้นดูเว็บส่วนมากสนับสนุนการเชื่อมต่อรูปแบบอื่นนอกจากนี้ เช่น ftp:// สำหรับเอฟทีพี (FTP) https:// สำหรับเอชทีทีพีแบบสนับสนุนการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัย เป็นต้น
รูปแบบของไฟล์สำหรับเว็บเรียกว่าเอชทีเอ็มแอล (HTML) และสนับสนุนไฟล์รูปแบบอื่นๆ เช่น รูปภาพ (JPG, GIF, PNG) หรือเสียง
รายชื่อโปรแกรมค้นดูเว็บที่เป็นที่นิยม
อินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์ (Internet Explorer) โดยบริษัทไมโครซอฟท์
มอซิลลา ไฟร์ฟอกซ์ (Mozilla Firefox) โดยมูลนิธิมอซิลลา
เน็ตสเคป นาวิเกเตอร์ (Netscape Navigator) โดยบริษัทเน็ตสเคป
ซาฟารี (Safari) โดยบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์
โอเปร่า (Opera) โดยบริษัทโอเปร่า ประเทศนอร์เวย์
สำหรับรายชื่อโปรแกรมค้นดูเว็บทั้งหมด ให้ดูรายชื่อเว็บเบราว์เซอร์
เครื่องมือช่วยค้นหาข้อมูล หรือ เสิร์ชเอนจิน (search engine) คือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต โดยครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่โปรแกรมหรือผู้ให้บริการแต่ละราย. เสิร์ชเอนจินส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคำสำคัญ (คีย์เวิร์ด) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป จากนั้นก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่มันคิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องการขึ้นมา ในปัจจุบัน เสิร์ชเอนจินบางตัว เช่น กูเกิล จะบันทึกประวัติการค้นหาและการเลือกผลลัพธ์ของผู้ใช้ไว้ด้วย และจะนำประวัติที่บันทึกไว้นั้น มาช่วยกรองผลลัพธ์ในการค้นหาครั้งต่อ ๆ ไป
ลำดับตามความนิยม
สัดส่วนของผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกา (ข้อมูลจาก นิตยสารฟอรบส์ ฉบับวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2548)
กูเกิล (Google) 36.9%
ยาฮูเสิร์ช (Yahoo! Search) 30.4%
เอ็มเอสเอ็นเสิร์ช (MSN Search) 15.7%
นอกจากด้านบน เว็บอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมได้แก่
เอโอแอล (AOL Search)
อาส์ก (Ask)
เอ 9 (A9)
ไป่ตู้ (Baidu, 百度) เสิร์ชเอนจิน อันดับ 1 ของประเทศจีน
โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ โปรแกรม Microsoft Internet Explorer (IE) และโปรแกรม Netscape Navigator
สำหรับคอมพิวเตอร์พีดีเอและโทรศัพท์มือถือ เรียกว่า ไมโครเบราว์เซอร์ (microbrowser) บางครั้งก็เรียกว่า มินิเบราว์เซอร์ (minibrowser)
ข้อมูลที่แสดงบนโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ จะมีลักษณะคล้ายหน้าเอกสาร เรียกว่าเว็บเพจ (Web page) โดยหน้าแรกของเว็บเพจจะเรียกว่า โฮมเพจ (home page)
การเข้าไปยังเว็บเพจของเว็บไซต์ใด ๆ ผู้ใช้จะต้องระบุที่อยู่ (Web address) โดยใช้ uniform resource location หรือ URL เพื่อชี้ไปยังตำแหน่งของ แหล่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต บริษัทและองค์การต่าง ๆ นิยมกำหนดชื่อ URL ให้เด่นและจดจำง่าย เพื่อประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์ชื่อเว็บไซต์ทางสื่อต่าง ๆ
URL โดยทั่วไปมีรูปแบบและส่วนประกอบดังนี้
Protocol://domain name/path/
ตัวอย่างเช่น
(1) http://www.siam.edu
โพรโตคอลคือ http ซึ่งย่อมาจาก hypertext transfer protocol, ชื่อโดเมนคือ www.siam.th.edu
(2) http://tpt.nectec.or.th/Project/Nsc/Nsc.htm
โพรโตคอลคือ http, ชื่อโดเมนคือ tpt.nectec.or.th, ชื่อโฟลเดอร์คือ projects/Nsc และชื่อแฟ้มคือ nsc.htm
(3) ftp://bc.siamu.ac.th
โพรโตคอลคือ ftp ซึ่งย่อมากจาก file transfer protocol, ชื่อโดเมนคือ bc.siamu.ac.th
ในการพิมพ์ที่อยู่ของเว็บไซต์ ผู้ใช้สามารถละ http:// และ www ได้ เช่น เว็บไซต์ http://www.google.co.th สามารถพิมพ์เพียง google.co.th เท่านั้น
โปรแกรมค้นดูเว็บ หรือ เว็บเบราว์เซอร์ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล (HTML)ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์หรือระบบคลังข้อมูลอื่นๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนสื่อในการติดต่อกับเครือข่าย หรือ เน็ตเวิร์คขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ
โปรแกรมค้นดูเว็บเชื่อมโยงกับเว็บเซิร์ฟเวอร์ผ่านมาตรฐานหรือโปรโตคอลแบบ เอชทีทีพี (HTTP) ในการส่งหน้าเว็บ หรือเว็บเพจ ปัจจุบันเอชทีทีพีรุ่นล่าสุดคือ 1.1 ซึ่งสนับสนุนโดยโปรแกรมค้นดูเว็บทั่วไป ยกเว้นอินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์ที่ยังสนับสนุนไม่เต็มที่
ที่อยู่ของเว็บเพจเรียกว่ายูอาร์แอล (URL) หรือยูอาร์ไอ (URI) ซึ่งรูปแบบมักจะเริ่มต้นด้วยคำว่า http:// สำหรับการติดต่อแบบเอชทีทีพี โปรแกรมค้นดูเว็บส่วนมากสนับสนุนการเชื่อมต่อรูปแบบอื่นนอกจากนี้ เช่น ftp:// สำหรับเอฟทีพี (FTP) https:// สำหรับเอชทีทีพีแบบสนับสนุนการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัย เป็นต้น
รูปแบบของไฟล์สำหรับเว็บเรียกว่าเอชทีเอ็มแอล (HTML) และสนับสนุนไฟล์รูปแบบอื่นๆ เช่น รูปภาพ (JPG, GIF, PNG) หรือเสียง
รายชื่อโปรแกรมค้นดูเว็บที่เป็นที่นิยม
อินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์ (Internet Explorer) โดยบริษัทไมโครซอฟท์
มอซิลลา ไฟร์ฟอกซ์ (Mozilla Firefox) โดยมูลนิธิมอซิลลา
เน็ตสเคป นาวิเกเตอร์ (Netscape Navigator) โดยบริษัทเน็ตสเคป
ซาฟารี (Safari) โดยบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์
โอเปร่า (Opera) โดยบริษัทโอเปร่า ประเทศนอร์เวย์
สำหรับรายชื่อโปรแกรมค้นดูเว็บทั้งหมด ให้ดูรายชื่อเว็บเบราว์เซอร์
เครื่องมือช่วยค้นหาข้อมูล หรือ เสิร์ชเอนจิน (search engine) คือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต โดยครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่โปรแกรมหรือผู้ให้บริการแต่ละราย. เสิร์ชเอนจินส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคำสำคัญ (คีย์เวิร์ด) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป จากนั้นก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่มันคิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องการขึ้นมา ในปัจจุบัน เสิร์ชเอนจินบางตัว เช่น กูเกิล จะบันทึกประวัติการค้นหาและการเลือกผลลัพธ์ของผู้ใช้ไว้ด้วย และจะนำประวัติที่บันทึกไว้นั้น มาช่วยกรองผลลัพธ์ในการค้นหาครั้งต่อ ๆ ไป
ลำดับตามความนิยม
สัดส่วนของผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกา (ข้อมูลจาก นิตยสารฟอรบส์ ฉบับวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2548)
กูเกิล (Google) 36.9%
ยาฮูเสิร์ช (Yahoo! Search) 30.4%
เอ็มเอสเอ็นเสิร์ช (MSN Search) 15.7%
นอกจากด้านบน เว็บอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมได้แก่
เอโอแอล (AOL Search)
อาส์ก (Ask)
เอ 9 (A9)
ไป่ตู้ (Baidu, 百度) เสิร์ชเอนจิน อันดับ 1 ของประเทศจีน
บัลเล่ต์,โอเปร่า,ละครบรอดเวย์
บัลเล่ต์
บัลเล่ต์-ประวัติ การเต้นรำเพื่อความบันเทิง เฟื่องฟูช่วงปลายศตวรรษที่ 15-16 ในรูปแบบต่างๆไม่ว่าการแสดงโลดโผน ละครใบ้ บทสนทนา และบทเพลงผสมผสานกัน มีจุดประสงค์รับใช้ราชสำนักเป็นหลัก ประชาชนเป็นรอง สำหรับบัลเล่ต์เป็นศิลปะการเต้นรำที่พระนางแคเธอรีนแห่งเมดีซี (Catherine de Medici) นำไปพัฒนาที่ฝรั่งเศส เมื่อพระนางอภิเษกกับกษัตริย์อองรีที่ 2 ในตอนนั้นการแสดงบัลเล่ต์กินเวลานานกว่า 5 ชั่วโมง บัลเล่ต์ทำให้สตรีในราชสำนักมีโอกาสร่วมเต้นรำด้วย หลังจากที่เคยจำกัดอยู่ในวงของบุรุษ แต่บทนางเอกของเรื่องก็ยังกำหนดให้ผู้ชายแสดงอยู่ดี ส่วนผู้หญิงได้เล่นแต่บทเล็กๆ นอกจากนั้นผู้หญิงยังถูกจำกัดท่าทางการเต้นด้วยเครื่องแต่งกายที่ฟูยาว ขณะที่ผู้ชายแต่งตัวด้วยชุดรัดรูป ทำให้มีอิสระในการเคลื่อนไหวขามากกว่าไม่ว่า การหมุน การซอยเท้า การกระโดดซับซ้อนขึ้น รวมทั้งการยืนบนปลายเท้า ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการเต้นบัลเล่ต์ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นผู้มีอิทธิพลมากในการทำให้การเต้นรำในราชสำนักกลายเป็นการเต้นรำเพื่ออาชีพ พระองค์ร่วมแสดงละครบัลเล่ต์เรื่อง “La nuit” ทั้งระดมผู้คนทั้งในราชสำนัก นักการเมือง และผู้มีพรสวรรค์ทุ่มเทพัฒนาการแสดงเต้นรำ ในค.ศ.1661 ทรงก่อตั้งสถาบันการเต้นรำอาชีพและสถาบันการดนตรีแห่งราชสำนัก และในปี 1671 จึงมีโรงเรียนสอนเต้นรำ ที่กรุงปารีส ซึ่งเปิดกว้างสู่สามัญชน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17-18 มีการก่อตั้งมูลนิธิของบัลเล่ต์ เพื่อพัฒนาการเต้นให้ดียิ่งขึ้น เช่นการใช้เท้าที่ซับซ้อนและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ขณะที่นักเต้นบัลเล่ต์หญิงเริ่มมีบทบาทเด่นมากขึ้น ในปี 1681 นักเต้นหญิงมีโอกาสขึ้นเวที โดย Marie de Carmargo เป็นหนึ่งในนักเต้นบัลเล่ต์หญิงที่มีชื่อเสียงด้านระบำปลายเท้าที่ว่องไวและซับซ้อน เธอยังเป็นผู้ที่ตัดกระโปรงบัลเล่ต์ให้สั้นลง 2-3 นิ้ว เพื่อให้เต้นสะดวกขึ้น การปฏิวัติของมารีไม่ได้รับการยอมรับนัก กระทั่ง 50 ปีผ่านไป ในปีค.ศ.1760 ผู้เชี่ยวชาญบัลเล่ต์เริ่มตั้งคำถามถึงข้อจำกัดซึ่งยึดหลักศิลปะ และข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น ปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการคือ ฌอง จอร์จ โนแวร์ ผู้เสนอแนวคิดการพัฒนาบัลเล่ต์ให้เป็นแบบฉบับศิลปะที่เป็นจริงเป็นจัง เพราะเห็นว่าบัลเล่ต์ควรเป็นวิธีที่ใช้แสดงความคิดทางละครผ่านทางการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบของการเต้นรำ ละคร และตัวละคร เขาแลกเปลี่ยนความคิดของเขากับนักเรียน นักเต้นรำ และผู้ออกแบบท่าเต้นในเวลานั้น แต่มีอยู่เพียงท่านเดียวที่นำแนวความคิดของโนแวร์ไปปฏิบัติคือ โดแบร์วาล ผู้ออกแบบท่าเต้นทิ่ยิ่งใหญ่ เขาออกแบบท่าเต้นรำและสร้างตัวละครสามัญชนในละครเรื่อง La Fille Mal Garde ปีค.ศ.1789 ปัจจุบันบัลเล่ต์มีผู้ชมจำนวนกว้างขึ้น และมีหลากหลายเรื่องที่เล่น ได้แก่ Swan Lake (หงส์เหิน) Sleeping Beauty (เจ้าหญิงนิทรา) The Nutcracker , Carmen ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เพลงคลาสสิคของไชคอสสกีในการบรรเลง บริบทของนาฎศิลป์ร่วมสมัย (Contemporary Dance) นาฏศิลป์ร่วมสมัย(Contemporary Dance) หรือที่ชาวอเมริกันเรียกว่านาฏศิลป์สมัยใหม่ (Modern Dance) นั้น คงเป็นเพราะว่าในช่วงศตวรรษที่ 19 นั้นเป็นช่วงเวลาที่ศิลปะสมัยใหม่(Modernism) ได้เข้ามามีบทบาทเพื่อตอบสนองความต้องการจำเพาะของคนในยุคนั้น โดยเริ่มที่ฝรั่งเศสและกระจายไปทั่วยุโรปและอเมริกา ซึ่งลักษณะของโมเดิรน์นั้นจะต้องเป็นสิ่งที่มีความพิเศษที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง โดยไม่ยึดติดอยู่กับรูปแบบงานแบบแผนเดิม ๆ เพราะการออกแบบนั้นจะคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยเป็นหลักที่มีคุณลักษณะเฉพาะ ซึ่งก็ตรงกับรูปแบบการเต้นรำที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ในเวลานั้น ประเทศสหรัฐอเมริกาถือเป็นต้นกำเนิดของการเต้นในรูปแบบนาฏศิลป์สมัยใหม่นี้เนื่องจากกลุ่มคนที่อยู่ในแวดวงการเต้นรำในช่วงเวลานั้นประสบกับปัญหาในการสร้างสรรค์งานที่ต้องการให้ผลงาน สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกภายในมากกว่าเรื่องของเทคนิคการเต้นอย่างมีแบบแผนของบัลเล่ต์(Classical Ballet) ซึ่งถือกำเนิดในประเทศฝรั่งเศส และกลุ่มประเทศทางยุโรป และในช่วงเวลานั้นสังคมของคนอเมริกันมีความตื่นตัวในเรื่องของกระแสการรักชาติอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเมืองในขณะนั้น จึงทำให้ไม่ยอมรับวัฒนธรรมหรือสิ่งต่าง ๆ ที่หลั่งไหลมาจากยุโรปโดยสิ้นเชิง แต่ในบางกระแสก็กล่าวว่าอาจเป็นเพราะกลุ่มผู้ฝึกสอนบัลเล่ต์(Ballet Master) ต่าง ๆ ในกลุ่มประเทศยุโรป ไม่เคยยอมรับนักแสดงหรือคณะแสดงการแสดงบัลเล่ต์ที่จัดสร้างขึ้นโดยคนอเมริกันสักที จึงทำให้สังคมการเต้นในอเมริกันเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ และได้เริ่มมีการเปิดภาควิชานาฏยศิลป์ (Department of Dance) เป็นครั้งแรกในสถาบันการศึกษาของสหรัฐอเมริกา และกลายเป็นจุดรวมของวิทยาการทางด้าน Dance ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้บุกเบิกที่สำคัญในการเต้นแบบโมเดิร์นในยุคแรกเริ่มคือ อิซาดอรา ดันแคน ( Isasara Duncan) เจ้าของทัศนคติ “Free Spirit” ที่ทุกคนยอมรับ เธอเกิดในซานฟรานซิสโก และไม่ปรากฏหลักฐานว่าเคยเข้าเรียนในโรงเรียนเต้นรำใดมาบ้าง แต่เธอได้เคยกล่าวไว้ว่า “เธอเริ่มเต้นรำตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา” เธอเริ่มชีวิตการเป็นนักเต้นโชว์ในเมืองชิคาโก ในปี ค.ศ. 1900 ภายใต้การอุปถัมภ์ของผู้จัดการโรงละครชื่อออกูสติน ดาลี และเมื่อเธอได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานจากการไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์แห่งกรุงลอนดอนเธอได้เกิดความประทับใจและซึมซับเอาศิลปวัฒนธรรมของกรีกโบราณ มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานของเธอหลายต่อหลายครั้ง การแสดงของเธอจะมีรูปแบบการเต้นที่ค่อนข้างจะเป็นแบบฉบับของเธอเองมาก และมีความเป็นส่วนตัวมากจนไมมีใครสามารถสืบทอดศิลปะของเธอได้ มีลักษณะการเต้นที่ดูเหมือนจะไม่เป็นระบบและมีท่าที่ซ้ำไปซ้ำมา บ่อยครั้งงานของเธอจะมีลักษณะท่าเต้นที่ดูเรียบง่าย แสดงกับเวทีที่เปล่าเปลือย มักจะมีฉากสีน้ำเงินปิดหลัง ออกแบบเครื่องแต่งกายการแสดงอย่างง่าย ๆ คล้ายชุดกรีกโบราณ เต้นด้วยเท้าเปล่า ทำให้ผู้ชมในสมัยนั้นส่วนใหญ่ยังรับไม่ได้เพราะต่างก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ดนตรีประกอบมักจะใช้ผลงานของ ริชาร์ด วากเนอร์, คริสตอฟ วิลลิบัลต์, กลูค ลุควิก ,ฟานเบโทเฟน , และ ปีเตอร์ อีลิทซ์ ไซคอฟกี ในงานของเธอมีลักษณะที่เป็นลีลาการแสดงออกของอารมณ์ประกอบผลงานเพลงของคีตกวี งานของเธอมีความเป็นศิลปะบริสุทธิ์สูงและมักเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอได้กลับมาเปิดการแสดงที่อเมริกาซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเธอเอง แต่ก็ไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก ในยุคสมัยต่อมาได้เกิดแบบแผนของการเต้นแบบโมเดิร์นแดนซ์ ที่กลายเป็นแบบฝึกหัดทางกายภาพเพื่อให้นักเต้นมีเทคนิคพิเศษในการเต้นรำ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายใช้เป็นแบบอย่างในการเรียน-การสอนมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยมีนักเต้นและผู้ออกแบบท่าเต้น คือ มาร์ธา เกรแฮม ( Martha Graham ) มาร์ธา จบการศึกษาจากโรงเรียนสอนเต้นรำที่ชื่อว่าเดนิสชอว์ ( Denisshaw ) จัดตั้งโดย รู๊ท เซนต์ เดนิส ( Ruth St. Denis )และสามีนักเต้นรำของเธอ เท็ด ชอว์ ( Ted Shawn )ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน ในปี ค.ศ. 1914 ที่เมืองซานตา บาบารา รัฐแคลิฟอร์เนียมาร์ธาเกิดในมลรัฐเพนซิลวาเนีย ในครอบครัวของผู้ที่เคร่งในศาสนาคริสต์ฝ่าย โปรแตสแตนต์ ซึ่งใช้การปกครองโดยพระที่มีสมณศักดิ์เท่ากันหมดและเป็นผู้ที่เคร่งศาสนาในแบบเดียวกันกับคนอังกฤษ ที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของศาสนาทางราชการในสมัยพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1 ครอบครัวของเธอจึงได้ย้ายมาที่อเมริกา สิ่งนี้เป็นผลสะท้อนเอาความเข้มงวด ความเคร่งขรึมแสดงออกมาในงานของเธอ ความขัดแย้งระหว่างการรับผิดชอบชั่วดี กับความปรารถนาในอารมณ์แฝงอยู่ในงานหลายชิ้นของเธอ เธอได้สอดแทรกเอาอารมณ์ของความร้ายกาจอย่างขมขื่นกับการสะกดกลั้นความรู้สึกอันเกี่ยวข้องในลัทธิความเชื่อส่วนตัวของเธอไว้ในงานของเธออย่างแยบยล และที่สำคัญเธอยังได้พยายามแสดงให้คนดูเห็นหรือบอกความในใจถึงเรื่องจริงในชีวิตของเธอให้ปรากฏออกมาในงาน ซึ่งพ่อของเธอได้ให้คำยืนยันว่าเธอได้กระทำเช่นนี้ต่อเนื่องมาตั้งแต่เด็กแล้ว มาร์ธา มีความสนใจในการเต้นรำมาโดยตลอดและมีความตั้งใจว่า จะยึดการเต้นรำเป็นอาชีพ เมื่อเธอได้เห็นการแสดงของ รู๊ท เธอจึงสมัตรเข้าเรียนในโรงเรียนสอนเต้นรำของรู๊ททันทีในปี ค.ศ. 1916 ที่โรงเรียนแห่งนี้มีความพิเศษนอกเหนือจากโรงเรียนเต้นรำอื่น ๆ ในเวลานั้นคือมีการนำเอาวัฒนธรรมจากประเทศอื่น ๆ มาผสมผสานให้ออกมามีลักษณะร่วมสมัย เช่นนำสไตล์การเคลื่อนไหว ของ อียิปต์ และ อินเดียมาประยุกต์ให้เป็นท่าทางที่ร่วมสมัย และยังสอนรูปแบบการเต้นทั้งแบบเก่า และใหม่ผสมผสานกัน มาร์ธาใช้เวลาศึกษาการเต้นรำในโรงเรียนเดนิสชอว์แห่งนี้เป็นเวลา 5 ปี จากนั้นเธอจึงหารูปแบบใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการเรียนที่โรงเรียนเดนิสชอว์ สร้างสรรค์ให้เป็นรูปแบบการเต้นของเธอเอง เธอได้พัฒนาสไตล์ของเธอเองมาจนถึงจุดหนึ่งที่เธอได้ค้นพบเทคนิค”การยืด” และ “การหด”กล้ามเนื้อ (Contraction and Release ) หลังจากที่เธอได้ตั้งคณะและตระเวนเปิดการแสดงไปทั่วแล้ว ในปี ค.ศ. 1927 เธอได้เปิดโรงเรียนสอนเต้นรำร่วมสมัยของเธอพร้อม ๆ ไปกับคณะการแสดงของเธอซึ่งมีผลงานการแสดงออกมาอย่างต่อเนื่อง มาร์ธา เกรแฮม เป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อประวัติศาสตร์โมเดิร์นแดนซ์ แม้มาร์ธาจะเสียชีวิตไปแล้วแต่คณะการแสดงของเธอก็ยังเปิดการแสดงต่อมา ก่อนที่จะปิดตัวลงไปกลายเป็นประวัติศาสตร์ ท่ามกลางความเสียดายของคนทั่วโลก แต่ผลงานของเธอได้ถูกนำไปเผยแพร่อย่างต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้โดยเหล่าลูกศิษย์ของเธอ และศิลปินเหล่านั้นก็ยังคงใช้วิธีการสอนที่ได้ร่ำเรียนมากับเธอต่อมาอีกด้วย เช่น เมิร์ส คันนิ่งแฮม, อีริค ฮอคกินส์, แอนนา ซากาโลว์, พอล เทลเลอร์ หรือแม้แต่นักร้องเพลงป๊อปยอดนิยมของสหรัฐอเมริกาอย่าง มาดอนน่าก็ยังเคยเป็นลูกศิษย์ของมาร์ธา เกรแฮมอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นนักร้องยอดนิยมในภายหลัง มาดอนน่าเคยกล่าวว่า ช่วงเวลาที่ได้อยู่ในคณะเต้นรำของมาร์ธา เกรแฮมเป็นช่วงเวลาที่เธอได้เรียนรู้ถึงระเบียบวินัย และสมาธิในการเคลื่อนไหว ซึ่งเธอได้นำสิ่งที่เธอศึกษามาแสดงออกถึงปรัชญาแห่งการเคลื่อนไหวในการแสดงคอนเสิร์ตของเธอได้เป็นอย่างดีการเต้นในรูปแบบโมเดิร์นแดนซ์ ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ได้มีการสร้างรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นอยู่ตลอดเวลา ในลักษณะของการทดลอง การนำเสนอแนวคิดใหม่ เทคนิคใหม่ เพื่อให้มีรูปแบบการแสดงที่แปลกใหม่อยู่เสมอ ยังมีนักออกแบบท่าเต้นและนักเต้นที่ยิ่งใหญ่อีกมากมายทำการสืบทอดพัฒนาและคลี่คลายรูปแบบการเต้นนาฏศิลป์ร่วมสมัย ไปในทิศทางที่ต่าง ๆ กัน ในประเทศแถบเอเชียเช่นญี่ปุ่น ก็มีรูปแบบการเต้นรำ การเคลื่อนไหวที่พัฒนามาจากนาฏศิลป์ร่วมสมัยในยุคแรก แต่พัฒนารูปแบบเป็นการเคลื่อนไหวที่สัมผัสกันด้วยพลังงานที่อยู่รอบ ๆ ร่างกาย เรียกเทคนิคการเต้นนี้ว่า บุตโต (Bud-toh) ที่ประเทศอินโดนีเซียได้มีการนำเทคนิคศิลปะการต่อสู้ชั้นสูงมาผสมผสานจนเกิดเป็นท่าเต้นในรูปแบบของนาฏศิลป์ร่วมสมัยที่มีชื่อท่าและเทคนิคเป็นท่าเตรียมพร้อมในการต่อสู้ เช่นรำกริช ซึ่งในปัจจุบันเราจะเห็นท่าทางเหล่านี้ปรากฏอยู่ในกีฬาชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ปัญจะสีลัต ในการชมนาฏศิลป์ร่วมสมัยนั้น สิ่งที่ผู้ชมจะได้รับก็คือ สุนทรียภาพแห่งปรัชญา และสาร (Message) ที่สอดแทรกอยู่ในลีลาแห่งการเคลื่อนไหวนั้น และนอกจากนี้ผู้ชมจะได้รับความตื่นตา ตื่นใจจากเทคนิคและการเคลื่อนไหวของนักเต้นที่สื่อสารท่าทาง และเรื่องราวผ่านการเคลื่อนไหวอย่างมีรูปแบบเดียวกัน บอกเล่าความหมายที่ต้องการสื่อให้ผู้ชมเกิดกระบวนการทางความคิดและตีความหมายของท่าทางนั้น ๆ ให้ออกมาเป็นเรื่องราวตามประสบการณ์การดำเนินชีวิตและภูมิหลังของผู้ชมแต่ละท่าน บางครั้งสารที่นักแสดงและผู้สร้างงานต้องการจะสื่อสารให้ผู้ชมได้รับทราบจากการแสดงอาจไม่จำเป็นต้องอยู่ในบทสรุปเดียวกัน เพราะในการแสดงนาฏศิลป์ร่วมสมัยครั้งหนึ่งอาจถูกตีความหมายไปได้หลายรูปแบบ แต่การแสดงนาฏศิลป์ร่วมสมัยที่ดีนั้นส่วนมากจะมีเนื้อหาและรูปแบบของการแสดงที่มีลักษณะแห่งความเป็นสากล อาจมีการหยิบยกเรื่องราวที่สามารถพบเห็นได้รอบ ๆ ตัวเรานำมาเสนอให้เกิดมุมมองและทัศนคติใหม่ ๆ ต่อสังคมเพื่อตีแผ่หรือสะท้อนแง่คิดแห่งเรื่องราวนั้น ๆ ให้ปรากฏต่อสังคมในช่วงเวลาหนึ่ง การแสดงนาฏศิลป์ร่วมสมัยถือเป็นการแสดงที่ต้องประสานสัมพันธ์กับสื่อต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า ฉาก เทคนิค แสง เสี่ยง วัสดุ อุปกรณ์ประกอบการแสดง เวลา บรรยากาศ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นภาษาแห่งการบอกเล่าเรื่องราวร่วมกับการเคลื่อนไหวแบบนาฏศิลป์ร่วมสมัยแทบทั้งสิ้น นาฏศิลป์ร่วมสมัยที่ดีจะต้องมีความร่วมสมัยที่สามารถทำให้ผู้ชมเข้าใจในสารที่ต้องการจะสื่อ การชมนาฏศิลป์ร่วมสมัยนอกจากผู้ชมจะชมเพื่อความสนุกสนานแล้ว ผู้ขมอาจจะเกิดความรู้สึกคล้อยตามชื่นชมไปกับลีลาการเคลื่อนไหวของนักเต้นที่ผ่านการฝึกฝนจนสามารถที่จะใช้ทักษะและเทคนิคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีและทำการแสดงได้อย่างระดับมืออาชีพ ร่วมกับการออกแบบลีลาจากผู้กำกับท่าเต้นผสมผสานกับเทคนิคต่าง ๆ การชมผลงานทางนาฏศิลป์สมัยใหม่จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้รับสุนทรียภาพในการเลือกชมการแสดงที่หลากหลายมากขึ้นกว่าข้อจำกัดเดิม ๆ โดยมีนาฏศิลป์ร่วมสมัยเป็นทางเลือกที่จะสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้อีกทางหนึ่งนาฏศิลป์ร่วมสมัยจึงทำหน้าที่เปรียบเสมือนกระจกสองด้านที่ด้านหนึ่งส่องให้เห็นถึงความงามจากภายนอกและอีกด้านหนึ่งส่องให้เห็นถึงจิตใต้สำนึกของมนุษย์
โอเปร่า
โอเปร่า ศิลปะชั้นสูงในด้านดนตรีและการแสดง "โอเปร่า-Opera" หรือ "อุปรากร" คือละครที่มีเพลงและดนตรีเป็นหลักสำคัญในการดำเนินเรื่องราว เป็นผลรวมของศิลปะนานาชนิดเข้าด้วยกัน ตั้งแต่วรรณกรรมคือบทร้อง ด้านละครคือการแสดง การเต้นรำ และคีตกรรมคือดนตรี ตลอดระยะเวลาร่วม 400 ปีที่เกิดมีโอเปร่าขึ้น แบ่งประเภทได้ ดังนี้ 1. โอเปร่าซีเรีย Opera seria หรือ Serious opera หรือ Grand opera เป็นโอเปร่าที่ต้องตั้งใจดูอย่างมาก ดำเนินเรื่องด้วยบทร้อง ไม่มีการพูดสนทนา จัดเป็นศิลปะดนตรีชั้นสูง ผู้ชมต้องมีพื้นความรู้และความเข้าใจในองค์ประกอบโดยเฉพาะด้านดนตรีเพื่อความซาบซึ้งอย่างแท้จริง เรื่องราวของโอเปร่าประเภทนี้มักเป็นเรื่องความเก่งกาจของตัวนำ หรือเรื่องโศกนาฏกรรม 2. โคมิค โอเปร่า Comic Opera โอเปร่าที่มีเนื้อเรื่องสนุกสนาน ตลก ขบขัน ล้อเลียนคนหรือเหตุการณ์ต่างๆ มีบทสนทนาแทรกระหว่างบทเพลงร้องและดนตรีที่ฟังไพเราะ ไม่ยากเกินไป 3. โอเปเรตตา-Operetta จัดเป็นโอเปร่าขนาดเบา แนวสนุกสนานทันสมัย อาจเป็นเรื่องความรักกระจุ๋มกระ** คล้ายกับโคมิค โอเปร่า บทสนทนาของโอเปเรตตาเป็นบทพูดแทนบทร้อง 4. คอนทินิวอัส โอเปร่า Continuous opera เป็นโอเปร่าที่ผู้ประพันธ์ใช้ดนตรีเชื่อมโยงเรื่องราวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการร้องหรือสนทนาที่เป็นช่วงๆ คีตกวี "วากเนอร์" เป็นผู้นำและใช้เสมอในโอเปร่าที่เขาเป็นผู้ประพันธ์ การแสดงโอเปร่ามีองค์ประกอบสำคัญคือ 1. เนื้อเรื่องที่นำมาเป็นบทขับร้อง เป็นบทร้อยกรองจากตำนาน เทพนิยาย นิทานโบราณ และวรรณกรรมที่มีชื่อเสียง นำมาทำเป็นบทร้องขึ้นใหม่สำหรับแสดงอุปรากรโดยเฉพาะ มีคีตกวีแต่งทำนองดนตรี 2. ดนตรี สำหรับโอเปร่าดนตรีเป็นปัจจัยที่ทำให้มีชีวิตจิตใจ บรรเลงประกอบบทร้อยกรองซึ่งเป็นบทขับร้อง ดำเนินเรื่องและเจรจากันตลอดทั้งเรื่อง ดนตรีเป็นองค์ประกอบสำคัญจนโอเปร่าได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานของผู้ประพันธ์ดนตรี หรือคีตกวี มากกว่าที่จะคิดถึงผู้ประพันธ์เนื้อเรื่องหรือบทขับร้อง 3. ผู้แสดง นอกจากเป็นนักร้องเสียงไพเราะ ดังแจ่มใสกังวาน พลังเสียงดี แข็งแรง ร้องได้นาน ต้องฝึกฝนเป็นนักร้องอุปรากรโดยเฉพาะ แล้ว ยังต้องเป็นผู้มีฝีมือแสดงบทบาทยอดเยี่ยมด้วย เน้นเรื่องน้ำเสียง ความสามารถในการขับร้อง และบทบาท มากกว่าความสวยงามและรูปร่าง เสียงขับร้องแบ่งเป็น 6 ระดับเสียง เป็นเสียงนักร้องชาย 3 ระดับ เสียงนักร้องหญิง 3 ระดับ ประกอบด้วย ระดับเสียงสูงสุดของนักร้องหญิง (Soprano) ระดับเสียงกลางของนักร้องหญิง (Mezzo - Soprano) ระดับเสียงต่ำสุดของนักร้องหญิง (Contralto หรือ Alto) ระดับเสียงสูงสุดของนักร้องชาย (Tenor) ระดับเสียงกลางของนักร้องชาย (Baritone) และระดับเสียงต่ำสุดของนักร้องชาย (Bass) Baritone จะมีเสียงร้องที่ค่อนไปทางหนา...แต่ความหนา และความลึกของ voce di petto(chest voice) นั้นมีความต่างกัน....และเทคนิคการเปล่งเสียงนั้นจะว่าไป ก็จะแตกต่างแบบเห็นได้ชัดเวลาที่เจาะลงไปหา"repertoire" พวกบาริโทนถูกแบ่งเป็นคร่าวๆ ดังนี้ครับ........ Lyric Baritone: เป็นประเภทที่เหมาะกับบทบาทในอุปรากรขบขัน operetta ,comic opera, หรือ musical .........เสียงพูดของรีลิค บาริโทน จะไม่กังวานมากนัก(ส่วนใหญ่) จะสังเกตได้ยินregister ของเสียงพูดของพวกนี้ที่ประมาณคาง - คอ พวก รึลิค บาริโทน ก็ยังสามารถร้องเหมาะกับ lieder ทีเดียว.......บทที่เหมาะในอุปรากรก็เช่น Count (LeNozze), หรือ Figaroจากเรื่องเดียวกัน.........และก็ยังมีพวกบทในโอเปร่าของG& Sullivan ที่เหมาะมากเช่น Lord Chancellor ใน Iolanthe Dramatic Baritone เสียงจะหนักขึ้นมากว่าประเภทข้างต้น....repertoire ของเขาเป็นแบบ บารีโทน บาริโทน ...เหมาะมากๆกับบท Count LUNA (Il Trovatore) , Renato (Maschera), Giovanni(Giovanni), Rigoletto(Rigoletto) พวก Bass-Baritone ก็มีเทคนิคการร้องแบบลงเสียงได้ลึกมากๆ (ถ้าเทียบกับบาริโทนอื่น) บทของ Count Monterone (Rigoletto), Ferrando(Trovatore) หรือ.. Dr.Bartolo (Nozze di Figaro) ก็ยังได้(บางคนนึกว่าต้องเป็นนักร้องเสียงเบสเท่านั้น....
ละครบรอดเวย์ (Broadway)
บรอดเวย์ (Broadway) เป็นชื่อของถนนสายหนึ่งในเมืองนิวยอร์คประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสัญลักษณ์อันสำคัญยิ่งของเมืองในด้านของศิลปะการละครเวที อันมีรูปแบบและองค์ประกอบที่เป็นเอกลักษณ์ของละครอเมริกันอย่างที่นิยมกันในตอนแรกว่า ละครเพลง(Musical Theatre) ที่มีรูปแบบการแสดง เพลงและการเต้นรำในลักษณะต่างๆ ที่กำหนดไว้อย่างตายตัวไม่ว่าจะมีการแสดงสักกี่รอบก็ตาม แม้แต่ในวงการภาพยนตร์ก็มักจะนำเรื่องราวจากละครเพลงมาทำเป็นภาพยนตร์และส่วนมากจะประสพผลสำเร็จได้รางวัลอยู่เสมอ เช่น เรื่อง Hello Dolly, West Side Story, The Sound of Music, South Pacific,The King and I, และเรื่องล่าสุดได้แก่ Chicago ความเป็นมาของละครบรอดเวย์นั้นสามารถแบ่งได้ออกเป็น 4 ยุคสมัยตามลักษณะของละครเพลงที่เปลี่ยนแปลงไปโดยจะเริ่มต้นในศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมาซึ่งเป็นยุคที่เริ่มมีละครเวทีเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ยุคแรก ในยุคแรกของละครเพลงที่เกิดขึ้นนี้ได้รับอิทธิพลทางการแสดงจากประเทศทางแบบยุโรป ซึ่งมีลักษณะเป็นโอเปรา (Operetta) กล่าวคือมีรูปแบบการร้องเพลงโอเปราและการแสดง อันมีเค้าโครงเรื่องที่มีลักษณะเหนือจริงมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความรัก มีการเต้นประกอบการแสดงที่เรียกกันว่า โรแมนติก บัลเล่ต์ (Romantic Ballet) เช่นเรื่อง The Red Mill (1906) Naughty Marietta (1910) Sweethearts (1913) ยุคที่สอง ในยุคนี้จัดว่าเริ่มเป็นยุคของละครเวทีแบบอเมริกันโดยแท้ ทั้งรูปแบบการประพันธ์ เค้าโครงเรื่อง และองค์ประกอบต่างๆ ของละครมีลักษณะเป็นเรื่องราวของชาวบ้าน ชาวเมืองปกติ ใช้เพลงป๊อป มีการนำการเต้นรำเข้ามาประกอบ ซึ่งเป็นลักษณะการเต้นแบบอเมริกันเองกล่าวคือมีบทพูดและมีการร้องเพลง เต้นรำเพื่อเชื่อมต่อเรื่องราวจากเหตุการณ์หนึ่งไปสู่อีกเหตุการณ์หนึ่ง มีการเปลี่ยนฉาก มีบทชวนหัว เสียดสีล้อเลียนเหตุการณ์ที่สำคัญต่างๆ ในช่วงเวลานั้น ผู้นำการผลิตละครเพลงเวทีแบบอเมริกันในยุคนี้ได้แก่ จอร์ช แอมโคแฮน (1848-1942), เจอโรม เคิร์น (1885-1945), เออร์วิง เบอร์ลิน (1888-1985) ละครเพลงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในยุคนี้ได้แก่ Show boat (1927),Funny Face (1927), Roberta (1933), Annie get your guns (1946) ยุคที่สาม เนื้อหาและเรื่องราวของละครเพลงในยุคนี้เน้นการเสนอเรื่องราวที่สะท้อนชีวิตจริงมากขึ้น และมีการนำเรื่องจากบทกวี วรรณคดีมาแสดงและผสมผสานเนื้อเรื่อง มีการเต้นรำมากขึ้น ทำให้ละครเพลงในยุคนี้มีลักษณะเป็นละคร (Drama) ที่สมบูรณ์มากขึ้นกว่าในยุคก่อน ผลงานเด่นในยุคนี้ได้แก่ Oklahoma! (1943) , South Pacific (1949), The King and I (1951), My Fair Lady (1956), The Sound of Music (1959)Camelot (1960), Funny Girls (1964) เป็นต้น ยุคที่สี่ เป็นยุคของรูปแบบใหม่แห่งวงการละครเพลงการนำเสนอเรื่องราวจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวของวีรบุรุษ ความรักความยิ่งใหญ่ตระการตาหมดไปมีการนำเสนอเรื่องราวที่สะท้อนชีวิตสังคมในแง่มุมต่างๆ ซึ่งไม่จำเป็น ต้องจบลงด้วยความสุข หรือเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ มีการใช้เพลงร๊อคประกอบในการแสดง เช่น Jesus Christ Superstar (1968) Grease (1972) และในยุคนี้นับเป็นการเริ่มต้นละครแบบทดลองคือมีการนำเรื่องราวที่แปลกออกไปมานำเสนอเช่นเรื่อง Cabaret (1966) เป็นเรื่องราวของร้านเหล้าในยุคสงครามโลกครั้งที่สองที่เมืองเบอร์ลินในประเทศเยอรมันนีเนื้อหาเสียดสีความโหดร้ายของสงคราม และเรื่อง Evita (1970) เป็นเรื่องราวของภรรยาจอมเผด็จการของชาวอาร์เจนตินา ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ได้รับรางวัลมากมายและกลายเป็นละครเวทีที่ได้รับความนิยมเปิดแสดงติดต่อกันเป็นเวลานาน เพลงประกอบที่ได้รับความนิยมมากจากละครทั้งสองเรื่องนี้ก็คือ Cabaret, May be this time, Don’t cry for me Argentina ซึ่งประพันธ์โดยเจ้าพ่อแห่งวงการละครเพลง แอนดรู ลอยด์ เว๊บเบอร์ คุณลักษณะของละครบรอดเวย์ แนวทางในการจัดทำละครบรอดเวย์เหล่านี้มักจะเป็นแนวเบาๆ เป็นส่วนใหญ่ และมีบทตลกสอดแทรกอยู่เสมอ บางครั้งละครเพลงเหล่านี้จึงเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งก็คือ ละครชวนหัว (Musical Comedy) ลักษณะเฉพาะของละครบรอดเวย์จึงจะเน้นหนักด้านเนื้อเรื่อง บทร้อง และทำนองเพลงการเต้นรำที่ใช้ประกอบเพลงซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างให้เป็นเพลง “ฮิต” บทร้องและดนตรีจึงมีความสำคัญมาก ทำให้รวมไปถึงผู้คิดท่าเต้นประกอบเพลง (Choreographer) เช่น เจอราลด์ รอบบินส์ (Jerome Robbins – West Side Story 1957), แอกเนส เดอ มิล (Agnes de Mille – Oklahoma! 1943), บ๊อบ ฟอซซี่ (Bob Fossi – Cabaret 1966) และนอกจากนี้ยังมี “หมอละคร” (Show Doctor) ซึ่งเป็นผู้ที่ช่วยแก้ไขปรับปรุงองค์ประกอบต่างๆ ของละครให้ดีขึ้น หลังจากการแสดงรอบปฐมทัศน์ซึ่งไม่ประสพความสำเร็จ เช่นเรื่อง คาเมล๊อต (Camelot) หมอละครนาม มอส ฮาร์ทได้เข้ามาปรับปรุงแก้ไข ทำให้ละครเรื่องนี้กลับมาเป็นละครเพลงบรอดเวย์ที่ประสพความสำเร็จอย่างมากเรื่องหนึ่งในเวลาต่อมา “ดารา” ก็จัดเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างไปจากดาราโอเปรา เพราะโอเปราใช้เสียงเป็นสื่อในการแสดงแต่ละครเพลงต้องการ นางเอก หรือ พระเอก ที่ดูเหมาะสมกับบทบาทอย่างแท้จริง และดาราละครเวทีเหล่านี้มักจะกลายเป็นดาราที่มีชื่อเสียงในวงการอื่นๆ ด้วย เช่นวงการภาพยนตร์หรือ วงการโทรทัศน์ เช่น จูลี่ แอนดรูส์ (จาก The Sound of Music 1959 ทั้งจากละครเวทีและภาพยนตร์ ผลงานล่าสุดในปี 2005 แสดงเป็นท่านย่าในภาพยนตร์เรื่อง Princess Diary 1 และ 2) “เค้าโครงเรื่อง” ของละครเวทีมีอยู่ด้วยกันหลายลักษณะส่วนมากจะได้รับการจัดทำขึ้นโดยดูตลาดและผู้ชมเป็นแนวทางการในการผลิตละครแต่ละเรื่อง โครงเรื่องจึงแตกต่างกันไปตามแนวความนิยมของสังคมในแต่ละยุค โดยปกติจะมีลักษณะของเหตุการณ์ที่น่าจดจำ เป็นประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา เช่น Oklahoma!, Show Boat ,Music Man หรือโครงเรื่องที่มีแนวเทพนิยายในลักษณะของซินเดอเรลล่า เช่น แอนนาในเรื่องThe King and I และมาเรียในเรื่อง The Sound of Music และ อีไลซ่า ดูลิตเติลในเรื่อง My Fair Lady เค้าโครงเรื่องอีกประเภทหนึ่งคือเรื่องราวสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของสังคม เช่นเรื่อง Cabaret, West Side Story, Chicago, สุนทรีย์ของละครบรอดเวย์ ละครบรอดเวย์มีจุดประสงค์ที่จะสร้างความบันเทิงเป็นอันดับแรก ผู้สร้างสรรค์ ผู้ผลิตต้องการสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชม โดยพยายามทำให้การแสดงดูเป็นที่เข้าใจง่าย ผู้ชมสามารถรับรู้เรื่องราวที่ใกล้ตัว ทำให้รู้สึกสนุกเป็นที่ชื่นชอบ เมื่อได้รับการพัฒนารูปแบบ เนื้อหาสาระของละครมากขึ้น องค์ประกอบต่างๆ จึงเริ่มมีการสร้างสรรค์เพื่อเน้นความงามของศิลปะพัฒนาให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา จุดเด่นอีกประการหนึ่งของละครบรอดเวย์ที่ผู้ชมมักคาดหวังจากผู้จัดเสมอได้แก่ ฉาก และเครื่องแต่งกายอันตระการตา ผสมผสานกับพื้นฐานสำคัญในเรื่องการสร้างสรรค์เพลง และดนตรี รวมทั้งการเต้นที่มีการพัฒนาให้เหมาะสมกับเนื้อหาของเรื่อง ประกอบกับแสง สี เสียง และเทคนิคของการจัดฉาก การเปลี่ยนฉาก และความสดในการแสดงของนักแสดงที่มีความสามารถสูงทั้งในด้านการร้องเพลง การเต้นรำทำให้ละครบรอดเวย์เป็นที่ประทับใจในเรื่องของความแปลกใหม่ และเนื้อเรื่องของละครที่เป็นเรื่องใกล้ตัว ทำให้ผู้ชมสามารถติดตามเรื่องราวได้อย่างตลอด ดังตัวอย่างของละครบรอดเวย์ยอดนิยมเรื่อง The King and I เป็นละครบรอดเวย์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาล ตั้งแต่เริ่มแสดงครั้งแรกในปี 1951 แสดงติดต่อกัน 1,246 รอบ นักแสดงนำฝ่ายชายคือยูล บรินเนอร์แสดงนำทั้งหมด 4,625 รอบ ปัจจุบันละครบรอดเวย์ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนไม่สามารถสรุปได้ว่าจะมีจุดสูงสุดอยู่ที่ไหน เพราะมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาปรับใช้ให้เข้ากับเรื่องราวและเหตุการณ์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ เครื่องยิงเลเซอร์ เครื่องสร้างภาพ 3 มิติ เครื่องสร้างปรากฏการณ์ธรรมชาติเทียม ทำให้ละครดูสมจริงสมจังมากขึ้นทุกที เป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้ชมชื่นชอบละครบรอดเวย์มาโดยตลอด ละครบรอดเวย์ทุกเรื่องก่อนที่จะนำมาแสดงที่โรงละครบนถนนบรอดเวย์ มักจะมีการทดลองแสดงตามที่ต่างๆ ก่อนและมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบต่างๆ ตามความคิดเห็นของผู้กำกับ ผู้ประพันธ์ดนตรี ผู้ประพันธ์เนื้อร้อง และผู้สร้างสรรค์ท่าเต้นตลอดจนทีมงานทุกคน ทำให้ละครเพลงได้รับการแก้ไขจนดูดี แล้วจึงนำมาแสดง ณ โรงละครบนถนนบรอดเวย์ ทำให้ละครบรอดเวย์มีคุณค่าและได้รับการยอมรับในเชิงศิลปการแสดงอย่างภาคภูมิ สุนทรีย์ของละครเพลงบรอดเวย์จึงอยู่ที่ความงดงามของตัวละครในขณะที่ทำการแสดง และอยู่ที่ความชื่นชมในคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างไม่น่าเชื่อว่า มนุษย์จะสามารถทำได้.
บัลเล่ต์-ประวัติ การเต้นรำเพื่อความบันเทิง เฟื่องฟูช่วงปลายศตวรรษที่ 15-16 ในรูปแบบต่างๆไม่ว่าการแสดงโลดโผน ละครใบ้ บทสนทนา และบทเพลงผสมผสานกัน มีจุดประสงค์รับใช้ราชสำนักเป็นหลัก ประชาชนเป็นรอง สำหรับบัลเล่ต์เป็นศิลปะการเต้นรำที่พระนางแคเธอรีนแห่งเมดีซี (Catherine de Medici) นำไปพัฒนาที่ฝรั่งเศส เมื่อพระนางอภิเษกกับกษัตริย์อองรีที่ 2 ในตอนนั้นการแสดงบัลเล่ต์กินเวลานานกว่า 5 ชั่วโมง บัลเล่ต์ทำให้สตรีในราชสำนักมีโอกาสร่วมเต้นรำด้วย หลังจากที่เคยจำกัดอยู่ในวงของบุรุษ แต่บทนางเอกของเรื่องก็ยังกำหนดให้ผู้ชายแสดงอยู่ดี ส่วนผู้หญิงได้เล่นแต่บทเล็กๆ นอกจากนั้นผู้หญิงยังถูกจำกัดท่าทางการเต้นด้วยเครื่องแต่งกายที่ฟูยาว ขณะที่ผู้ชายแต่งตัวด้วยชุดรัดรูป ทำให้มีอิสระในการเคลื่อนไหวขามากกว่าไม่ว่า การหมุน การซอยเท้า การกระโดดซับซ้อนขึ้น รวมทั้งการยืนบนปลายเท้า ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการเต้นบัลเล่ต์ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นผู้มีอิทธิพลมากในการทำให้การเต้นรำในราชสำนักกลายเป็นการเต้นรำเพื่ออาชีพ พระองค์ร่วมแสดงละครบัลเล่ต์เรื่อง “La nuit” ทั้งระดมผู้คนทั้งในราชสำนัก นักการเมือง และผู้มีพรสวรรค์ทุ่มเทพัฒนาการแสดงเต้นรำ ในค.ศ.1661 ทรงก่อตั้งสถาบันการเต้นรำอาชีพและสถาบันการดนตรีแห่งราชสำนัก และในปี 1671 จึงมีโรงเรียนสอนเต้นรำ ที่กรุงปารีส ซึ่งเปิดกว้างสู่สามัญชน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17-18 มีการก่อตั้งมูลนิธิของบัลเล่ต์ เพื่อพัฒนาการเต้นให้ดียิ่งขึ้น เช่นการใช้เท้าที่ซับซ้อนและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ขณะที่นักเต้นบัลเล่ต์หญิงเริ่มมีบทบาทเด่นมากขึ้น ในปี 1681 นักเต้นหญิงมีโอกาสขึ้นเวที โดย Marie de Carmargo เป็นหนึ่งในนักเต้นบัลเล่ต์หญิงที่มีชื่อเสียงด้านระบำปลายเท้าที่ว่องไวและซับซ้อน เธอยังเป็นผู้ที่ตัดกระโปรงบัลเล่ต์ให้สั้นลง 2-3 นิ้ว เพื่อให้เต้นสะดวกขึ้น การปฏิวัติของมารีไม่ได้รับการยอมรับนัก กระทั่ง 50 ปีผ่านไป ในปีค.ศ.1760 ผู้เชี่ยวชาญบัลเล่ต์เริ่มตั้งคำถามถึงข้อจำกัดซึ่งยึดหลักศิลปะ และข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น ปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการคือ ฌอง จอร์จ โนแวร์ ผู้เสนอแนวคิดการพัฒนาบัลเล่ต์ให้เป็นแบบฉบับศิลปะที่เป็นจริงเป็นจัง เพราะเห็นว่าบัลเล่ต์ควรเป็นวิธีที่ใช้แสดงความคิดทางละครผ่านทางการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบของการเต้นรำ ละคร และตัวละคร เขาแลกเปลี่ยนความคิดของเขากับนักเรียน นักเต้นรำ และผู้ออกแบบท่าเต้นในเวลานั้น แต่มีอยู่เพียงท่านเดียวที่นำแนวความคิดของโนแวร์ไปปฏิบัติคือ โดแบร์วาล ผู้ออกแบบท่าเต้นทิ่ยิ่งใหญ่ เขาออกแบบท่าเต้นรำและสร้างตัวละครสามัญชนในละครเรื่อง La Fille Mal Garde ปีค.ศ.1789 ปัจจุบันบัลเล่ต์มีผู้ชมจำนวนกว้างขึ้น และมีหลากหลายเรื่องที่เล่น ได้แก่ Swan Lake (หงส์เหิน) Sleeping Beauty (เจ้าหญิงนิทรา) The Nutcracker , Carmen ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เพลงคลาสสิคของไชคอสสกีในการบรรเลง บริบทของนาฎศิลป์ร่วมสมัย (Contemporary Dance) นาฏศิลป์ร่วมสมัย(Contemporary Dance) หรือที่ชาวอเมริกันเรียกว่านาฏศิลป์สมัยใหม่ (Modern Dance) นั้น คงเป็นเพราะว่าในช่วงศตวรรษที่ 19 นั้นเป็นช่วงเวลาที่ศิลปะสมัยใหม่(Modernism) ได้เข้ามามีบทบาทเพื่อตอบสนองความต้องการจำเพาะของคนในยุคนั้น โดยเริ่มที่ฝรั่งเศสและกระจายไปทั่วยุโรปและอเมริกา ซึ่งลักษณะของโมเดิรน์นั้นจะต้องเป็นสิ่งที่มีความพิเศษที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง โดยไม่ยึดติดอยู่กับรูปแบบงานแบบแผนเดิม ๆ เพราะการออกแบบนั้นจะคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยเป็นหลักที่มีคุณลักษณะเฉพาะ ซึ่งก็ตรงกับรูปแบบการเต้นรำที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ในเวลานั้น ประเทศสหรัฐอเมริกาถือเป็นต้นกำเนิดของการเต้นในรูปแบบนาฏศิลป์สมัยใหม่นี้เนื่องจากกลุ่มคนที่อยู่ในแวดวงการเต้นรำในช่วงเวลานั้นประสบกับปัญหาในการสร้างสรรค์งานที่ต้องการให้ผลงาน สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกภายในมากกว่าเรื่องของเทคนิคการเต้นอย่างมีแบบแผนของบัลเล่ต์(Classical Ballet) ซึ่งถือกำเนิดในประเทศฝรั่งเศส และกลุ่มประเทศทางยุโรป และในช่วงเวลานั้นสังคมของคนอเมริกันมีความตื่นตัวในเรื่องของกระแสการรักชาติอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเมืองในขณะนั้น จึงทำให้ไม่ยอมรับวัฒนธรรมหรือสิ่งต่าง ๆ ที่หลั่งไหลมาจากยุโรปโดยสิ้นเชิง แต่ในบางกระแสก็กล่าวว่าอาจเป็นเพราะกลุ่มผู้ฝึกสอนบัลเล่ต์(Ballet Master) ต่าง ๆ ในกลุ่มประเทศยุโรป ไม่เคยยอมรับนักแสดงหรือคณะแสดงการแสดงบัลเล่ต์ที่จัดสร้างขึ้นโดยคนอเมริกันสักที จึงทำให้สังคมการเต้นในอเมริกันเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ และได้เริ่มมีการเปิดภาควิชานาฏยศิลป์ (Department of Dance) เป็นครั้งแรกในสถาบันการศึกษาของสหรัฐอเมริกา และกลายเป็นจุดรวมของวิทยาการทางด้าน Dance ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้บุกเบิกที่สำคัญในการเต้นแบบโมเดิร์นในยุคแรกเริ่มคือ อิซาดอรา ดันแคน ( Isasara Duncan) เจ้าของทัศนคติ “Free Spirit” ที่ทุกคนยอมรับ เธอเกิดในซานฟรานซิสโก และไม่ปรากฏหลักฐานว่าเคยเข้าเรียนในโรงเรียนเต้นรำใดมาบ้าง แต่เธอได้เคยกล่าวไว้ว่า “เธอเริ่มเต้นรำตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา” เธอเริ่มชีวิตการเป็นนักเต้นโชว์ในเมืองชิคาโก ในปี ค.ศ. 1900 ภายใต้การอุปถัมภ์ของผู้จัดการโรงละครชื่อออกูสติน ดาลี และเมื่อเธอได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานจากการไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์แห่งกรุงลอนดอนเธอได้เกิดความประทับใจและซึมซับเอาศิลปวัฒนธรรมของกรีกโบราณ มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานของเธอหลายต่อหลายครั้ง การแสดงของเธอจะมีรูปแบบการเต้นที่ค่อนข้างจะเป็นแบบฉบับของเธอเองมาก และมีความเป็นส่วนตัวมากจนไมมีใครสามารถสืบทอดศิลปะของเธอได้ มีลักษณะการเต้นที่ดูเหมือนจะไม่เป็นระบบและมีท่าที่ซ้ำไปซ้ำมา บ่อยครั้งงานของเธอจะมีลักษณะท่าเต้นที่ดูเรียบง่าย แสดงกับเวทีที่เปล่าเปลือย มักจะมีฉากสีน้ำเงินปิดหลัง ออกแบบเครื่องแต่งกายการแสดงอย่างง่าย ๆ คล้ายชุดกรีกโบราณ เต้นด้วยเท้าเปล่า ทำให้ผู้ชมในสมัยนั้นส่วนใหญ่ยังรับไม่ได้เพราะต่างก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ดนตรีประกอบมักจะใช้ผลงานของ ริชาร์ด วากเนอร์, คริสตอฟ วิลลิบัลต์, กลูค ลุควิก ,ฟานเบโทเฟน , และ ปีเตอร์ อีลิทซ์ ไซคอฟกี ในงานของเธอมีลักษณะที่เป็นลีลาการแสดงออกของอารมณ์ประกอบผลงานเพลงของคีตกวี งานของเธอมีความเป็นศิลปะบริสุทธิ์สูงและมักเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอได้กลับมาเปิดการแสดงที่อเมริกาซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเธอเอง แต่ก็ไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก ในยุคสมัยต่อมาได้เกิดแบบแผนของการเต้นแบบโมเดิร์นแดนซ์ ที่กลายเป็นแบบฝึกหัดทางกายภาพเพื่อให้นักเต้นมีเทคนิคพิเศษในการเต้นรำ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายใช้เป็นแบบอย่างในการเรียน-การสอนมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยมีนักเต้นและผู้ออกแบบท่าเต้น คือ มาร์ธา เกรแฮม ( Martha Graham ) มาร์ธา จบการศึกษาจากโรงเรียนสอนเต้นรำที่ชื่อว่าเดนิสชอว์ ( Denisshaw ) จัดตั้งโดย รู๊ท เซนต์ เดนิส ( Ruth St. Denis )และสามีนักเต้นรำของเธอ เท็ด ชอว์ ( Ted Shawn )ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน ในปี ค.ศ. 1914 ที่เมืองซานตา บาบารา รัฐแคลิฟอร์เนียมาร์ธาเกิดในมลรัฐเพนซิลวาเนีย ในครอบครัวของผู้ที่เคร่งในศาสนาคริสต์ฝ่าย โปรแตสแตนต์ ซึ่งใช้การปกครองโดยพระที่มีสมณศักดิ์เท่ากันหมดและเป็นผู้ที่เคร่งศาสนาในแบบเดียวกันกับคนอังกฤษ ที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของศาสนาทางราชการในสมัยพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1 ครอบครัวของเธอจึงได้ย้ายมาที่อเมริกา สิ่งนี้เป็นผลสะท้อนเอาความเข้มงวด ความเคร่งขรึมแสดงออกมาในงานของเธอ ความขัดแย้งระหว่างการรับผิดชอบชั่วดี กับความปรารถนาในอารมณ์แฝงอยู่ในงานหลายชิ้นของเธอ เธอได้สอดแทรกเอาอารมณ์ของความร้ายกาจอย่างขมขื่นกับการสะกดกลั้นความรู้สึกอันเกี่ยวข้องในลัทธิความเชื่อส่วนตัวของเธอไว้ในงานของเธออย่างแยบยล และที่สำคัญเธอยังได้พยายามแสดงให้คนดูเห็นหรือบอกความในใจถึงเรื่องจริงในชีวิตของเธอให้ปรากฏออกมาในงาน ซึ่งพ่อของเธอได้ให้คำยืนยันว่าเธอได้กระทำเช่นนี้ต่อเนื่องมาตั้งแต่เด็กแล้ว มาร์ธา มีความสนใจในการเต้นรำมาโดยตลอดและมีความตั้งใจว่า จะยึดการเต้นรำเป็นอาชีพ เมื่อเธอได้เห็นการแสดงของ รู๊ท เธอจึงสมัตรเข้าเรียนในโรงเรียนสอนเต้นรำของรู๊ททันทีในปี ค.ศ. 1916 ที่โรงเรียนแห่งนี้มีความพิเศษนอกเหนือจากโรงเรียนเต้นรำอื่น ๆ ในเวลานั้นคือมีการนำเอาวัฒนธรรมจากประเทศอื่น ๆ มาผสมผสานให้ออกมามีลักษณะร่วมสมัย เช่นนำสไตล์การเคลื่อนไหว ของ อียิปต์ และ อินเดียมาประยุกต์ให้เป็นท่าทางที่ร่วมสมัย และยังสอนรูปแบบการเต้นทั้งแบบเก่า และใหม่ผสมผสานกัน มาร์ธาใช้เวลาศึกษาการเต้นรำในโรงเรียนเดนิสชอว์แห่งนี้เป็นเวลา 5 ปี จากนั้นเธอจึงหารูปแบบใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการเรียนที่โรงเรียนเดนิสชอว์ สร้างสรรค์ให้เป็นรูปแบบการเต้นของเธอเอง เธอได้พัฒนาสไตล์ของเธอเองมาจนถึงจุดหนึ่งที่เธอได้ค้นพบเทคนิค”การยืด” และ “การหด”กล้ามเนื้อ (Contraction and Release ) หลังจากที่เธอได้ตั้งคณะและตระเวนเปิดการแสดงไปทั่วแล้ว ในปี ค.ศ. 1927 เธอได้เปิดโรงเรียนสอนเต้นรำร่วมสมัยของเธอพร้อม ๆ ไปกับคณะการแสดงของเธอซึ่งมีผลงานการแสดงออกมาอย่างต่อเนื่อง มาร์ธา เกรแฮม เป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อประวัติศาสตร์โมเดิร์นแดนซ์ แม้มาร์ธาจะเสียชีวิตไปแล้วแต่คณะการแสดงของเธอก็ยังเปิดการแสดงต่อมา ก่อนที่จะปิดตัวลงไปกลายเป็นประวัติศาสตร์ ท่ามกลางความเสียดายของคนทั่วโลก แต่ผลงานของเธอได้ถูกนำไปเผยแพร่อย่างต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้โดยเหล่าลูกศิษย์ของเธอ และศิลปินเหล่านั้นก็ยังคงใช้วิธีการสอนที่ได้ร่ำเรียนมากับเธอต่อมาอีกด้วย เช่น เมิร์ส คันนิ่งแฮม, อีริค ฮอคกินส์, แอนนา ซากาโลว์, พอล เทลเลอร์ หรือแม้แต่นักร้องเพลงป๊อปยอดนิยมของสหรัฐอเมริกาอย่าง มาดอนน่าก็ยังเคยเป็นลูกศิษย์ของมาร์ธา เกรแฮมอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นนักร้องยอดนิยมในภายหลัง มาดอนน่าเคยกล่าวว่า ช่วงเวลาที่ได้อยู่ในคณะเต้นรำของมาร์ธา เกรแฮมเป็นช่วงเวลาที่เธอได้เรียนรู้ถึงระเบียบวินัย และสมาธิในการเคลื่อนไหว ซึ่งเธอได้นำสิ่งที่เธอศึกษามาแสดงออกถึงปรัชญาแห่งการเคลื่อนไหวในการแสดงคอนเสิร์ตของเธอได้เป็นอย่างดีการเต้นในรูปแบบโมเดิร์นแดนซ์ ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ได้มีการสร้างรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นอยู่ตลอดเวลา ในลักษณะของการทดลอง การนำเสนอแนวคิดใหม่ เทคนิคใหม่ เพื่อให้มีรูปแบบการแสดงที่แปลกใหม่อยู่เสมอ ยังมีนักออกแบบท่าเต้นและนักเต้นที่ยิ่งใหญ่อีกมากมายทำการสืบทอดพัฒนาและคลี่คลายรูปแบบการเต้นนาฏศิลป์ร่วมสมัย ไปในทิศทางที่ต่าง ๆ กัน ในประเทศแถบเอเชียเช่นญี่ปุ่น ก็มีรูปแบบการเต้นรำ การเคลื่อนไหวที่พัฒนามาจากนาฏศิลป์ร่วมสมัยในยุคแรก แต่พัฒนารูปแบบเป็นการเคลื่อนไหวที่สัมผัสกันด้วยพลังงานที่อยู่รอบ ๆ ร่างกาย เรียกเทคนิคการเต้นนี้ว่า บุตโต (Bud-toh) ที่ประเทศอินโดนีเซียได้มีการนำเทคนิคศิลปะการต่อสู้ชั้นสูงมาผสมผสานจนเกิดเป็นท่าเต้นในรูปแบบของนาฏศิลป์ร่วมสมัยที่มีชื่อท่าและเทคนิคเป็นท่าเตรียมพร้อมในการต่อสู้ เช่นรำกริช ซึ่งในปัจจุบันเราจะเห็นท่าทางเหล่านี้ปรากฏอยู่ในกีฬาชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ปัญจะสีลัต ในการชมนาฏศิลป์ร่วมสมัยนั้น สิ่งที่ผู้ชมจะได้รับก็คือ สุนทรียภาพแห่งปรัชญา และสาร (Message) ที่สอดแทรกอยู่ในลีลาแห่งการเคลื่อนไหวนั้น และนอกจากนี้ผู้ชมจะได้รับความตื่นตา ตื่นใจจากเทคนิคและการเคลื่อนไหวของนักเต้นที่สื่อสารท่าทาง และเรื่องราวผ่านการเคลื่อนไหวอย่างมีรูปแบบเดียวกัน บอกเล่าความหมายที่ต้องการสื่อให้ผู้ชมเกิดกระบวนการทางความคิดและตีความหมายของท่าทางนั้น ๆ ให้ออกมาเป็นเรื่องราวตามประสบการณ์การดำเนินชีวิตและภูมิหลังของผู้ชมแต่ละท่าน บางครั้งสารที่นักแสดงและผู้สร้างงานต้องการจะสื่อสารให้ผู้ชมได้รับทราบจากการแสดงอาจไม่จำเป็นต้องอยู่ในบทสรุปเดียวกัน เพราะในการแสดงนาฏศิลป์ร่วมสมัยครั้งหนึ่งอาจถูกตีความหมายไปได้หลายรูปแบบ แต่การแสดงนาฏศิลป์ร่วมสมัยที่ดีนั้นส่วนมากจะมีเนื้อหาและรูปแบบของการแสดงที่มีลักษณะแห่งความเป็นสากล อาจมีการหยิบยกเรื่องราวที่สามารถพบเห็นได้รอบ ๆ ตัวเรานำมาเสนอให้เกิดมุมมองและทัศนคติใหม่ ๆ ต่อสังคมเพื่อตีแผ่หรือสะท้อนแง่คิดแห่งเรื่องราวนั้น ๆ ให้ปรากฏต่อสังคมในช่วงเวลาหนึ่ง การแสดงนาฏศิลป์ร่วมสมัยถือเป็นการแสดงที่ต้องประสานสัมพันธ์กับสื่อต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า ฉาก เทคนิค แสง เสี่ยง วัสดุ อุปกรณ์ประกอบการแสดง เวลา บรรยากาศ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นภาษาแห่งการบอกเล่าเรื่องราวร่วมกับการเคลื่อนไหวแบบนาฏศิลป์ร่วมสมัยแทบทั้งสิ้น นาฏศิลป์ร่วมสมัยที่ดีจะต้องมีความร่วมสมัยที่สามารถทำให้ผู้ชมเข้าใจในสารที่ต้องการจะสื่อ การชมนาฏศิลป์ร่วมสมัยนอกจากผู้ชมจะชมเพื่อความสนุกสนานแล้ว ผู้ขมอาจจะเกิดความรู้สึกคล้อยตามชื่นชมไปกับลีลาการเคลื่อนไหวของนักเต้นที่ผ่านการฝึกฝนจนสามารถที่จะใช้ทักษะและเทคนิคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีและทำการแสดงได้อย่างระดับมืออาชีพ ร่วมกับการออกแบบลีลาจากผู้กำกับท่าเต้นผสมผสานกับเทคนิคต่าง ๆ การชมผลงานทางนาฏศิลป์สมัยใหม่จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้รับสุนทรียภาพในการเลือกชมการแสดงที่หลากหลายมากขึ้นกว่าข้อจำกัดเดิม ๆ โดยมีนาฏศิลป์ร่วมสมัยเป็นทางเลือกที่จะสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้อีกทางหนึ่งนาฏศิลป์ร่วมสมัยจึงทำหน้าที่เปรียบเสมือนกระจกสองด้านที่ด้านหนึ่งส่องให้เห็นถึงความงามจากภายนอกและอีกด้านหนึ่งส่องให้เห็นถึงจิตใต้สำนึกของมนุษย์
โอเปร่า
โอเปร่า ศิลปะชั้นสูงในด้านดนตรีและการแสดง "โอเปร่า-Opera" หรือ "อุปรากร" คือละครที่มีเพลงและดนตรีเป็นหลักสำคัญในการดำเนินเรื่องราว เป็นผลรวมของศิลปะนานาชนิดเข้าด้วยกัน ตั้งแต่วรรณกรรมคือบทร้อง ด้านละครคือการแสดง การเต้นรำ และคีตกรรมคือดนตรี ตลอดระยะเวลาร่วม 400 ปีที่เกิดมีโอเปร่าขึ้น แบ่งประเภทได้ ดังนี้ 1. โอเปร่าซีเรีย Opera seria หรือ Serious opera หรือ Grand opera เป็นโอเปร่าที่ต้องตั้งใจดูอย่างมาก ดำเนินเรื่องด้วยบทร้อง ไม่มีการพูดสนทนา จัดเป็นศิลปะดนตรีชั้นสูง ผู้ชมต้องมีพื้นความรู้และความเข้าใจในองค์ประกอบโดยเฉพาะด้านดนตรีเพื่อความซาบซึ้งอย่างแท้จริง เรื่องราวของโอเปร่าประเภทนี้มักเป็นเรื่องความเก่งกาจของตัวนำ หรือเรื่องโศกนาฏกรรม 2. โคมิค โอเปร่า Comic Opera โอเปร่าที่มีเนื้อเรื่องสนุกสนาน ตลก ขบขัน ล้อเลียนคนหรือเหตุการณ์ต่างๆ มีบทสนทนาแทรกระหว่างบทเพลงร้องและดนตรีที่ฟังไพเราะ ไม่ยากเกินไป 3. โอเปเรตตา-Operetta จัดเป็นโอเปร่าขนาดเบา แนวสนุกสนานทันสมัย อาจเป็นเรื่องความรักกระจุ๋มกระ** คล้ายกับโคมิค โอเปร่า บทสนทนาของโอเปเรตตาเป็นบทพูดแทนบทร้อง 4. คอนทินิวอัส โอเปร่า Continuous opera เป็นโอเปร่าที่ผู้ประพันธ์ใช้ดนตรีเชื่อมโยงเรื่องราวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการร้องหรือสนทนาที่เป็นช่วงๆ คีตกวี "วากเนอร์" เป็นผู้นำและใช้เสมอในโอเปร่าที่เขาเป็นผู้ประพันธ์ การแสดงโอเปร่ามีองค์ประกอบสำคัญคือ 1. เนื้อเรื่องที่นำมาเป็นบทขับร้อง เป็นบทร้อยกรองจากตำนาน เทพนิยาย นิทานโบราณ และวรรณกรรมที่มีชื่อเสียง นำมาทำเป็นบทร้องขึ้นใหม่สำหรับแสดงอุปรากรโดยเฉพาะ มีคีตกวีแต่งทำนองดนตรี 2. ดนตรี สำหรับโอเปร่าดนตรีเป็นปัจจัยที่ทำให้มีชีวิตจิตใจ บรรเลงประกอบบทร้อยกรองซึ่งเป็นบทขับร้อง ดำเนินเรื่องและเจรจากันตลอดทั้งเรื่อง ดนตรีเป็นองค์ประกอบสำคัญจนโอเปร่าได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานของผู้ประพันธ์ดนตรี หรือคีตกวี มากกว่าที่จะคิดถึงผู้ประพันธ์เนื้อเรื่องหรือบทขับร้อง 3. ผู้แสดง นอกจากเป็นนักร้องเสียงไพเราะ ดังแจ่มใสกังวาน พลังเสียงดี แข็งแรง ร้องได้นาน ต้องฝึกฝนเป็นนักร้องอุปรากรโดยเฉพาะ แล้ว ยังต้องเป็นผู้มีฝีมือแสดงบทบาทยอดเยี่ยมด้วย เน้นเรื่องน้ำเสียง ความสามารถในการขับร้อง และบทบาท มากกว่าความสวยงามและรูปร่าง เสียงขับร้องแบ่งเป็น 6 ระดับเสียง เป็นเสียงนักร้องชาย 3 ระดับ เสียงนักร้องหญิง 3 ระดับ ประกอบด้วย ระดับเสียงสูงสุดของนักร้องหญิง (Soprano) ระดับเสียงกลางของนักร้องหญิง (Mezzo - Soprano) ระดับเสียงต่ำสุดของนักร้องหญิง (Contralto หรือ Alto) ระดับเสียงสูงสุดของนักร้องชาย (Tenor) ระดับเสียงกลางของนักร้องชาย (Baritone) และระดับเสียงต่ำสุดของนักร้องชาย (Bass) Baritone จะมีเสียงร้องที่ค่อนไปทางหนา...แต่ความหนา และความลึกของ voce di petto(chest voice) นั้นมีความต่างกัน....และเทคนิคการเปล่งเสียงนั้นจะว่าไป ก็จะแตกต่างแบบเห็นได้ชัดเวลาที่เจาะลงไปหา"repertoire" พวกบาริโทนถูกแบ่งเป็นคร่าวๆ ดังนี้ครับ........ Lyric Baritone: เป็นประเภทที่เหมาะกับบทบาทในอุปรากรขบขัน operetta ,comic opera, หรือ musical .........เสียงพูดของรีลิค บาริโทน จะไม่กังวานมากนัก(ส่วนใหญ่) จะสังเกตได้ยินregister ของเสียงพูดของพวกนี้ที่ประมาณคาง - คอ พวก รึลิค บาริโทน ก็ยังสามารถร้องเหมาะกับ lieder ทีเดียว.......บทที่เหมาะในอุปรากรก็เช่น Count (LeNozze), หรือ Figaroจากเรื่องเดียวกัน.........และก็ยังมีพวกบทในโอเปร่าของG& Sullivan ที่เหมาะมากเช่น Lord Chancellor ใน Iolanthe Dramatic Baritone เสียงจะหนักขึ้นมากว่าประเภทข้างต้น....repertoire ของเขาเป็นแบบ บารีโทน บาริโทน ...เหมาะมากๆกับบท Count LUNA (Il Trovatore) , Renato (Maschera), Giovanni(Giovanni), Rigoletto(Rigoletto) พวก Bass-Baritone ก็มีเทคนิคการร้องแบบลงเสียงได้ลึกมากๆ (ถ้าเทียบกับบาริโทนอื่น) บทของ Count Monterone (Rigoletto), Ferrando(Trovatore) หรือ.. Dr.Bartolo (Nozze di Figaro) ก็ยังได้(บางคนนึกว่าต้องเป็นนักร้องเสียงเบสเท่านั้น....
ละครบรอดเวย์ (Broadway)
บรอดเวย์ (Broadway) เป็นชื่อของถนนสายหนึ่งในเมืองนิวยอร์คประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสัญลักษณ์อันสำคัญยิ่งของเมืองในด้านของศิลปะการละครเวที อันมีรูปแบบและองค์ประกอบที่เป็นเอกลักษณ์ของละครอเมริกันอย่างที่นิยมกันในตอนแรกว่า ละครเพลง(Musical Theatre) ที่มีรูปแบบการแสดง เพลงและการเต้นรำในลักษณะต่างๆ ที่กำหนดไว้อย่างตายตัวไม่ว่าจะมีการแสดงสักกี่รอบก็ตาม แม้แต่ในวงการภาพยนตร์ก็มักจะนำเรื่องราวจากละครเพลงมาทำเป็นภาพยนตร์และส่วนมากจะประสพผลสำเร็จได้รางวัลอยู่เสมอ เช่น เรื่อง Hello Dolly, West Side Story, The Sound of Music, South Pacific,The King and I, และเรื่องล่าสุดได้แก่ Chicago ความเป็นมาของละครบรอดเวย์นั้นสามารถแบ่งได้ออกเป็น 4 ยุคสมัยตามลักษณะของละครเพลงที่เปลี่ยนแปลงไปโดยจะเริ่มต้นในศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมาซึ่งเป็นยุคที่เริ่มมีละครเวทีเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ยุคแรก ในยุคแรกของละครเพลงที่เกิดขึ้นนี้ได้รับอิทธิพลทางการแสดงจากประเทศทางแบบยุโรป ซึ่งมีลักษณะเป็นโอเปรา (Operetta) กล่าวคือมีรูปแบบการร้องเพลงโอเปราและการแสดง อันมีเค้าโครงเรื่องที่มีลักษณะเหนือจริงมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความรัก มีการเต้นประกอบการแสดงที่เรียกกันว่า โรแมนติก บัลเล่ต์ (Romantic Ballet) เช่นเรื่อง The Red Mill (1906) Naughty Marietta (1910) Sweethearts (1913) ยุคที่สอง ในยุคนี้จัดว่าเริ่มเป็นยุคของละครเวทีแบบอเมริกันโดยแท้ ทั้งรูปแบบการประพันธ์ เค้าโครงเรื่อง และองค์ประกอบต่างๆ ของละครมีลักษณะเป็นเรื่องราวของชาวบ้าน ชาวเมืองปกติ ใช้เพลงป๊อป มีการนำการเต้นรำเข้ามาประกอบ ซึ่งเป็นลักษณะการเต้นแบบอเมริกันเองกล่าวคือมีบทพูดและมีการร้องเพลง เต้นรำเพื่อเชื่อมต่อเรื่องราวจากเหตุการณ์หนึ่งไปสู่อีกเหตุการณ์หนึ่ง มีการเปลี่ยนฉาก มีบทชวนหัว เสียดสีล้อเลียนเหตุการณ์ที่สำคัญต่างๆ ในช่วงเวลานั้น ผู้นำการผลิตละครเพลงเวทีแบบอเมริกันในยุคนี้ได้แก่ จอร์ช แอมโคแฮน (1848-1942), เจอโรม เคิร์น (1885-1945), เออร์วิง เบอร์ลิน (1888-1985) ละครเพลงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในยุคนี้ได้แก่ Show boat (1927),Funny Face (1927), Roberta (1933), Annie get your guns (1946) ยุคที่สาม เนื้อหาและเรื่องราวของละครเพลงในยุคนี้เน้นการเสนอเรื่องราวที่สะท้อนชีวิตจริงมากขึ้น และมีการนำเรื่องจากบทกวี วรรณคดีมาแสดงและผสมผสานเนื้อเรื่อง มีการเต้นรำมากขึ้น ทำให้ละครเพลงในยุคนี้มีลักษณะเป็นละคร (Drama) ที่สมบูรณ์มากขึ้นกว่าในยุคก่อน ผลงานเด่นในยุคนี้ได้แก่ Oklahoma! (1943) , South Pacific (1949), The King and I (1951), My Fair Lady (1956), The Sound of Music (1959)Camelot (1960), Funny Girls (1964) เป็นต้น ยุคที่สี่ เป็นยุคของรูปแบบใหม่แห่งวงการละครเพลงการนำเสนอเรื่องราวจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวของวีรบุรุษ ความรักความยิ่งใหญ่ตระการตาหมดไปมีการนำเสนอเรื่องราวที่สะท้อนชีวิตสังคมในแง่มุมต่างๆ ซึ่งไม่จำเป็น ต้องจบลงด้วยความสุข หรือเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ มีการใช้เพลงร๊อคประกอบในการแสดง เช่น Jesus Christ Superstar (1968) Grease (1972) และในยุคนี้นับเป็นการเริ่มต้นละครแบบทดลองคือมีการนำเรื่องราวที่แปลกออกไปมานำเสนอเช่นเรื่อง Cabaret (1966) เป็นเรื่องราวของร้านเหล้าในยุคสงครามโลกครั้งที่สองที่เมืองเบอร์ลินในประเทศเยอรมันนีเนื้อหาเสียดสีความโหดร้ายของสงคราม และเรื่อง Evita (1970) เป็นเรื่องราวของภรรยาจอมเผด็จการของชาวอาร์เจนตินา ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ได้รับรางวัลมากมายและกลายเป็นละครเวทีที่ได้รับความนิยมเปิดแสดงติดต่อกันเป็นเวลานาน เพลงประกอบที่ได้รับความนิยมมากจากละครทั้งสองเรื่องนี้ก็คือ Cabaret, May be this time, Don’t cry for me Argentina ซึ่งประพันธ์โดยเจ้าพ่อแห่งวงการละครเพลง แอนดรู ลอยด์ เว๊บเบอร์ คุณลักษณะของละครบรอดเวย์ แนวทางในการจัดทำละครบรอดเวย์เหล่านี้มักจะเป็นแนวเบาๆ เป็นส่วนใหญ่ และมีบทตลกสอดแทรกอยู่เสมอ บางครั้งละครเพลงเหล่านี้จึงเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งก็คือ ละครชวนหัว (Musical Comedy) ลักษณะเฉพาะของละครบรอดเวย์จึงจะเน้นหนักด้านเนื้อเรื่อง บทร้อง และทำนองเพลงการเต้นรำที่ใช้ประกอบเพลงซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างให้เป็นเพลง “ฮิต” บทร้องและดนตรีจึงมีความสำคัญมาก ทำให้รวมไปถึงผู้คิดท่าเต้นประกอบเพลง (Choreographer) เช่น เจอราลด์ รอบบินส์ (Jerome Robbins – West Side Story 1957), แอกเนส เดอ มิล (Agnes de Mille – Oklahoma! 1943), บ๊อบ ฟอซซี่ (Bob Fossi – Cabaret 1966) และนอกจากนี้ยังมี “หมอละคร” (Show Doctor) ซึ่งเป็นผู้ที่ช่วยแก้ไขปรับปรุงองค์ประกอบต่างๆ ของละครให้ดีขึ้น หลังจากการแสดงรอบปฐมทัศน์ซึ่งไม่ประสพความสำเร็จ เช่นเรื่อง คาเมล๊อต (Camelot) หมอละครนาม มอส ฮาร์ทได้เข้ามาปรับปรุงแก้ไข ทำให้ละครเรื่องนี้กลับมาเป็นละครเพลงบรอดเวย์ที่ประสพความสำเร็จอย่างมากเรื่องหนึ่งในเวลาต่อมา “ดารา” ก็จัดเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างไปจากดาราโอเปรา เพราะโอเปราใช้เสียงเป็นสื่อในการแสดงแต่ละครเพลงต้องการ นางเอก หรือ พระเอก ที่ดูเหมาะสมกับบทบาทอย่างแท้จริง และดาราละครเวทีเหล่านี้มักจะกลายเป็นดาราที่มีชื่อเสียงในวงการอื่นๆ ด้วย เช่นวงการภาพยนตร์หรือ วงการโทรทัศน์ เช่น จูลี่ แอนดรูส์ (จาก The Sound of Music 1959 ทั้งจากละครเวทีและภาพยนตร์ ผลงานล่าสุดในปี 2005 แสดงเป็นท่านย่าในภาพยนตร์เรื่อง Princess Diary 1 และ 2) “เค้าโครงเรื่อง” ของละครเวทีมีอยู่ด้วยกันหลายลักษณะส่วนมากจะได้รับการจัดทำขึ้นโดยดูตลาดและผู้ชมเป็นแนวทางการในการผลิตละครแต่ละเรื่อง โครงเรื่องจึงแตกต่างกันไปตามแนวความนิยมของสังคมในแต่ละยุค โดยปกติจะมีลักษณะของเหตุการณ์ที่น่าจดจำ เป็นประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา เช่น Oklahoma!, Show Boat ,Music Man หรือโครงเรื่องที่มีแนวเทพนิยายในลักษณะของซินเดอเรลล่า เช่น แอนนาในเรื่องThe King and I และมาเรียในเรื่อง The Sound of Music และ อีไลซ่า ดูลิตเติลในเรื่อง My Fair Lady เค้าโครงเรื่องอีกประเภทหนึ่งคือเรื่องราวสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของสังคม เช่นเรื่อง Cabaret, West Side Story, Chicago, สุนทรีย์ของละครบรอดเวย์ ละครบรอดเวย์มีจุดประสงค์ที่จะสร้างความบันเทิงเป็นอันดับแรก ผู้สร้างสรรค์ ผู้ผลิตต้องการสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชม โดยพยายามทำให้การแสดงดูเป็นที่เข้าใจง่าย ผู้ชมสามารถรับรู้เรื่องราวที่ใกล้ตัว ทำให้รู้สึกสนุกเป็นที่ชื่นชอบ เมื่อได้รับการพัฒนารูปแบบ เนื้อหาสาระของละครมากขึ้น องค์ประกอบต่างๆ จึงเริ่มมีการสร้างสรรค์เพื่อเน้นความงามของศิลปะพัฒนาให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา จุดเด่นอีกประการหนึ่งของละครบรอดเวย์ที่ผู้ชมมักคาดหวังจากผู้จัดเสมอได้แก่ ฉาก และเครื่องแต่งกายอันตระการตา ผสมผสานกับพื้นฐานสำคัญในเรื่องการสร้างสรรค์เพลง และดนตรี รวมทั้งการเต้นที่มีการพัฒนาให้เหมาะสมกับเนื้อหาของเรื่อง ประกอบกับแสง สี เสียง และเทคนิคของการจัดฉาก การเปลี่ยนฉาก และความสดในการแสดงของนักแสดงที่มีความสามารถสูงทั้งในด้านการร้องเพลง การเต้นรำทำให้ละครบรอดเวย์เป็นที่ประทับใจในเรื่องของความแปลกใหม่ และเนื้อเรื่องของละครที่เป็นเรื่องใกล้ตัว ทำให้ผู้ชมสามารถติดตามเรื่องราวได้อย่างตลอด ดังตัวอย่างของละครบรอดเวย์ยอดนิยมเรื่อง The King and I เป็นละครบรอดเวย์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาล ตั้งแต่เริ่มแสดงครั้งแรกในปี 1951 แสดงติดต่อกัน 1,246 รอบ นักแสดงนำฝ่ายชายคือยูล บรินเนอร์แสดงนำทั้งหมด 4,625 รอบ ปัจจุบันละครบรอดเวย์ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนไม่สามารถสรุปได้ว่าจะมีจุดสูงสุดอยู่ที่ไหน เพราะมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาปรับใช้ให้เข้ากับเรื่องราวและเหตุการณ์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ เครื่องยิงเลเซอร์ เครื่องสร้างภาพ 3 มิติ เครื่องสร้างปรากฏการณ์ธรรมชาติเทียม ทำให้ละครดูสมจริงสมจังมากขึ้นทุกที เป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้ชมชื่นชอบละครบรอดเวย์มาโดยตลอด ละครบรอดเวย์ทุกเรื่องก่อนที่จะนำมาแสดงที่โรงละครบนถนนบรอดเวย์ มักจะมีการทดลองแสดงตามที่ต่างๆ ก่อนและมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบต่างๆ ตามความคิดเห็นของผู้กำกับ ผู้ประพันธ์ดนตรี ผู้ประพันธ์เนื้อร้อง และผู้สร้างสรรค์ท่าเต้นตลอดจนทีมงานทุกคน ทำให้ละครเพลงได้รับการแก้ไขจนดูดี แล้วจึงนำมาแสดง ณ โรงละครบนถนนบรอดเวย์ ทำให้ละครบรอดเวย์มีคุณค่าและได้รับการยอมรับในเชิงศิลปการแสดงอย่างภาคภูมิ สุนทรีย์ของละครเพลงบรอดเวย์จึงอยู่ที่ความงดงามของตัวละครในขณะที่ทำการแสดง และอยู่ที่ความชื่นชมในคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างไม่น่าเชื่อว่า มนุษย์จะสามารถทำได้.
สุภาษิตสุภาษิต อังกฤษ-ไทย
สุภาษิตสุภาษิต อังกฤษ-ไทยครับ..เก็บเอามาฝาก
1. A bad workman always blames his tools. คนงานเลวมักตำหนิเครื่องมือของตน
2. Absence makes the heart grow fonder. ไม่พบกันทำให้หัวใจเกิดรักมากขึ้น
3. Actions speak louder than words. การกระทำดังกว่าคำพูด
4. Adam's ale is the best brew. น้ำเปล่าเป็นน้ำที่ดีที่สุด
5. A drowning man will clutch at a straw. คนกำลังจมน้ำจะคว้าแม้เส้นฟาง
6. A fool and his money are soon parted. คนโง่กับเงินไม่ช้าก็พลัดพราก
7. A fool believes everything. คนโง่เชื่อทุกอย่าง
8. A friend in need is a friend indeed. เพื่อนยามจำเป็นคือเพื่อนแท้
9. A good face is a letter of recommendation. หน้าตาดีเป็นหนังสือแนะนำตัว
10. A good friend is my nearest relation. เพื่อนดีเป็นญาติชิดสนิทสุด
11. A liar is worse than a thief. คนโกหกเลวกว่าหัวขโมย
12. A miss is as good as a mile. ขาดไปนิดเท่ากับขาดไปไมล์
13. An honest man's word is as good as his bond. คำพูดของคนซื่อสัตย์ก็ดีเท่ากับคำสัญญาของเขา
14. An hour in the morning is worth two in the evening. หนึ่งชั่วโมงตอนเช้าเท่ากับสองชั่วโมงตอนค่ำ
15. A penny saved is a penny earned. ประหยัดสตางค์ก็เท่ากับหาสตางค์ได้
16. Ask a silly question and you'll get a silly answer. ถามคำถามโง่ ๆ ก็จะได้รับคำตอบโง่ ๆ
17. A still tongue makes a wise head. ลิ้นที่นิ่งเงียบทำให้หัวฉลาด
18. A trouble shared is a trouble halved. ปัญหาที่แบ่งปัน เป็นปัญหาที่เหลือครึ่งเดียว
19. A truly great man never puts away the simplicity of a child. คนที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงไม่เคยละทิ้งความเรียบง่ายของเด็กเลย
20. Attack is the best form of defence. โจมตีเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดของการป้องกัน
21. Better be a fool than a knave. เป็นคนโง่ดีกว่าเป็นคนโกง
22. Better be envied than pitied. ให้เขาอิจฉาดีกว่าให้เขาสงสาร
23. Better be safe than sorry. ปลอดภัยดีกว่าเสียใจ
24. Better late than never. มาสายดีกว่าไม่มา
25. Charity begins at home. ใจบุญสุนทานเริ่มต้นที่บ้าน
26. Civility costs nothing. ความสุภาพไม่เสียค่าอะไรเลย
27. Do as you would be done by. ทำอย่างที่อยากได้รับการกระทำตอบ
28. Doing is better than saying. การกระทำดีกว่าคำพูด
29. Don't meet troubles half-way. อย่าเผชิญปัญหาแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ
30. Easier said than done. พูดง่ายกว่าทำ
31. Easy come,easy go. มาง่ายไปง่าย
32. Eat to live and not live to eat. กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน
33. Even a worm will turn. แม้หนอนมันยังสู้
34. Every little helps. เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ช่วยได้
35. Every man is his own worst enemy. ทุกคนเป็นศัตรูที่เลวที่สุดของตนเอง
36. Every man to his trade. (ทุกคนมีความถนัดของตนเอง)
37. Experience is the mother of wisdom. ประสบการณ์เป็นมารดาของความเฉลียวฉลาด
38. First impressions are the most lasting. ประทับใจครั้งแรกตรึงตรายาวนานที่สุด
39. Forbidden fruit is sweet. ผลไม้ต้องห้ามช่างหอมหวาน
40. Forewarned is forearmed. เตือนล่วงหน้าเท่ากับติดอาวุธไว้ล่วงหน้า
41. From the sublime to the ridiculous is only a step. จากสูงส่งสู่ต่ำต้อยเพียงก้าวเดียว
42. God helps them that help themself. พระเจ้าช่วยคนที่ช่วยตนเอง
43. Great oaks from little acorns grow. ต้นโอ๊คใหญ่เติบโตจากต้นเล็ก
44. Half a loaf is better than no bread. ขนมปังแข็งเพียงครึ่งก้อนก็ดีกว่าไม่มีเลย
45. He that knows little, often repeats it. คนรู้น้อยมักพูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ
46. He that knows nothing, doubts nothing. คนที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่สงสัยอะไรเลย
47. Home is where the heart is. บ้านคือที่ซึ่งดวงใจอาศัยอยู่
48. Hunger is the best sauce. ความหิวเป็นน้ำจิ้มที่ดีที่สุด
49. If a job's worth doing, it's worth doing well. ถ้างานควรค่าแก่การทำ ก็ควรทำให้ดี
50. If at first you don't succeed, try, try, try again. หากครั้งแรกไม่สำเร็จ พยายาม พยายาม พยายามอีกครั้ง
51. If you can't be good, be careful. ถ้าดีไม่ได้ ก็ขอให้ระมัดระวัง
52. If you want a thing well done, do it yourself. ถ้าอยากให้งานดี ต้องทำด้วยตนเอง
53. It is easy to be wise after the event. มันง่ายที่จะฉลาดหลังเหตุการณ์
54. It is no use crying over spilt milk. ไม่มีประโยชน์ที่จะร้องไห้ถึงนมที่หกไปแล้ว
55. It's too late to shut the stable door after the horse has bolted. สายเกินไปที่จะปิดประตูคอก หลังจากม้าถูกลักไปแล้ว
56. It takes two to make a quarrel. ทะเลาะกันต้องมี 2 ฝ่าย
57. Jack of all trades, master of none. ทำงานหลายอย่าง แต่ไม่เก่งสักอย่าง
58. Keep something for a rainy day. จงเก็บอะไรไว้เผื่อวันฝนตกบ้าง
59. Knowledge is power. ความรู้คืออำนาจ
60. Know thyself. จงรู้จักตัวเอง
1. A bad workman always blames his tools. คนงานเลวมักตำหนิเครื่องมือของตน
2. Absence makes the heart grow fonder. ไม่พบกันทำให้หัวใจเกิดรักมากขึ้น
3. Actions speak louder than words. การกระทำดังกว่าคำพูด
4. Adam's ale is the best brew. น้ำเปล่าเป็นน้ำที่ดีที่สุด
5. A drowning man will clutch at a straw. คนกำลังจมน้ำจะคว้าแม้เส้นฟาง
6. A fool and his money are soon parted. คนโง่กับเงินไม่ช้าก็พลัดพราก
7. A fool believes everything. คนโง่เชื่อทุกอย่าง
8. A friend in need is a friend indeed. เพื่อนยามจำเป็นคือเพื่อนแท้
9. A good face is a letter of recommendation. หน้าตาดีเป็นหนังสือแนะนำตัว
10. A good friend is my nearest relation. เพื่อนดีเป็นญาติชิดสนิทสุด
11. A liar is worse than a thief. คนโกหกเลวกว่าหัวขโมย
12. A miss is as good as a mile. ขาดไปนิดเท่ากับขาดไปไมล์
13. An honest man's word is as good as his bond. คำพูดของคนซื่อสัตย์ก็ดีเท่ากับคำสัญญาของเขา
14. An hour in the morning is worth two in the evening. หนึ่งชั่วโมงตอนเช้าเท่ากับสองชั่วโมงตอนค่ำ
15. A penny saved is a penny earned. ประหยัดสตางค์ก็เท่ากับหาสตางค์ได้
16. Ask a silly question and you'll get a silly answer. ถามคำถามโง่ ๆ ก็จะได้รับคำตอบโง่ ๆ
17. A still tongue makes a wise head. ลิ้นที่นิ่งเงียบทำให้หัวฉลาด
18. A trouble shared is a trouble halved. ปัญหาที่แบ่งปัน เป็นปัญหาที่เหลือครึ่งเดียว
19. A truly great man never puts away the simplicity of a child. คนที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงไม่เคยละทิ้งความเรียบง่ายของเด็กเลย
20. Attack is the best form of defence. โจมตีเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดของการป้องกัน
21. Better be a fool than a knave. เป็นคนโง่ดีกว่าเป็นคนโกง
22. Better be envied than pitied. ให้เขาอิจฉาดีกว่าให้เขาสงสาร
23. Better be safe than sorry. ปลอดภัยดีกว่าเสียใจ
24. Better late than never. มาสายดีกว่าไม่มา
25. Charity begins at home. ใจบุญสุนทานเริ่มต้นที่บ้าน
26. Civility costs nothing. ความสุภาพไม่เสียค่าอะไรเลย
27. Do as you would be done by. ทำอย่างที่อยากได้รับการกระทำตอบ
28. Doing is better than saying. การกระทำดีกว่าคำพูด
29. Don't meet troubles half-way. อย่าเผชิญปัญหาแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ
30. Easier said than done. พูดง่ายกว่าทำ
31. Easy come,easy go. มาง่ายไปง่าย
32. Eat to live and not live to eat. กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน
33. Even a worm will turn. แม้หนอนมันยังสู้
34. Every little helps. เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ช่วยได้
35. Every man is his own worst enemy. ทุกคนเป็นศัตรูที่เลวที่สุดของตนเอง
36. Every man to his trade. (ทุกคนมีความถนัดของตนเอง)
37. Experience is the mother of wisdom. ประสบการณ์เป็นมารดาของความเฉลียวฉลาด
38. First impressions are the most lasting. ประทับใจครั้งแรกตรึงตรายาวนานที่สุด
39. Forbidden fruit is sweet. ผลไม้ต้องห้ามช่างหอมหวาน
40. Forewarned is forearmed. เตือนล่วงหน้าเท่ากับติดอาวุธไว้ล่วงหน้า
41. From the sublime to the ridiculous is only a step. จากสูงส่งสู่ต่ำต้อยเพียงก้าวเดียว
42. God helps them that help themself. พระเจ้าช่วยคนที่ช่วยตนเอง
43. Great oaks from little acorns grow. ต้นโอ๊คใหญ่เติบโตจากต้นเล็ก
44. Half a loaf is better than no bread. ขนมปังแข็งเพียงครึ่งก้อนก็ดีกว่าไม่มีเลย
45. He that knows little, often repeats it. คนรู้น้อยมักพูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ
46. He that knows nothing, doubts nothing. คนที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่สงสัยอะไรเลย
47. Home is where the heart is. บ้านคือที่ซึ่งดวงใจอาศัยอยู่
48. Hunger is the best sauce. ความหิวเป็นน้ำจิ้มที่ดีที่สุด
49. If a job's worth doing, it's worth doing well. ถ้างานควรค่าแก่การทำ ก็ควรทำให้ดี
50. If at first you don't succeed, try, try, try again. หากครั้งแรกไม่สำเร็จ พยายาม พยายาม พยายามอีกครั้ง
51. If you can't be good, be careful. ถ้าดีไม่ได้ ก็ขอให้ระมัดระวัง
52. If you want a thing well done, do it yourself. ถ้าอยากให้งานดี ต้องทำด้วยตนเอง
53. It is easy to be wise after the event. มันง่ายที่จะฉลาดหลังเหตุการณ์
54. It is no use crying over spilt milk. ไม่มีประโยชน์ที่จะร้องไห้ถึงนมที่หกไปแล้ว
55. It's too late to shut the stable door after the horse has bolted. สายเกินไปที่จะปิดประตูคอก หลังจากม้าถูกลักไปแล้ว
56. It takes two to make a quarrel. ทะเลาะกันต้องมี 2 ฝ่าย
57. Jack of all trades, master of none. ทำงานหลายอย่าง แต่ไม่เก่งสักอย่าง
58. Keep something for a rainy day. จงเก็บอะไรไว้เผื่อวันฝนตกบ้าง
59. Knowledge is power. ความรู้คืออำนาจ
60. Know thyself. จงรู้จักตัวเอง
การกินเจ
การกินเจ
เจ หรือแจ ในภาษาจีน มีความหมายทางศาสนาพุทธนิกายมหายานว่า "อุโบสถ" การกินเจหมายถึงรับประทานอาหารก่อนเที่ยง ถ้ารับประทานอาหารหลังเที่ยงจะถือว่ากินเจไม่ได้ เนื่องจากการถืออุโบสถของจีนจะต้องไม่กินเนื้อสัตว์ จึงเพี้ยนไปว่าการไม่กินเนื้อสัตว์เป็นการกินเจ
ประเพณีการกินเจมีตำนานเล่าว่าในสมัยพระเจ้าแผ่นดินราชวงศ์ยิ่น ฮ่วงสี ซึ่งแปลว่าผู้เป็นเจ้าใหญ่แห่งมนุษย์ ซึ่งชาวจีนนับถือมากและถือว่าเป็นผู้วิเศษมีอยู่ด้วยกัน 9 องค์พี่น้อง สวรรคตแล้วจุติเป็นดาวจระเข้เรียงกัน 9 ดวง จึงเรียกว่าเป็น "เก๊าฮวง ฮุดโจ้ว" ซึ่งจะเป็นผู้ที่ถือบัญชีคนในโลกมนุษย์ ต่อชีวิตแก่ผู้สิ้นอายุขัยให้ยืนยาวต่อไปได้ตามความต้องการ ชาวจีนจึงถือว่าระหว่างวันที่ 1-9 ค่ำ เดือน 9 เป็นวันที่ "เก๊าฮวง ฮุดโจ้ว" จะลงมาตรวจสอบจดบันทึกและบันดาลให้เป็นไปตามกรรมดีกรรมชั่วของแต่ละบุคคล ช่วงเวลาดังกล่าวคนจีนจึงพากันยกเว้นอาหารสดคาวเสียชั่วคราว เพื่อแสดงว่าตนได้ประกอบความดีให้พระเจ้าเห็น
สำหรับผู้ที่กินเจในสมัยนี้ นอกจากต้องการละเว้นจากการเบียดเบียนเนื้อสัตว์ด้วยการบริโภคบ้างสักระยะหนึ่งแล้ว ยังมีเรื่องของสุขภาพเข้ามารณรงค์ด้วย
การกินเจที่ถูกต้องคือ การกินรสชาติที่สะอาด ไม่มีงานหมักดอง เช่น เกี้ยมไฉ่ หนำเลี้ยบ สรุปคร่าวๆ ว่า การกินเจมีหลัก 4 อย่าง คือ
1. ไม่กินเนื้อสัตว์เลย ไม่ว่า นมหรือไข่
2. ไม่กินผักฉุน ได้แก่ กระเทียม หัวหอม กุยช่าย หลักเกียว(คล้ายกระเทียม) และใบยาสูบ
3. ไม่กินรสจัดและของหมักดอง
4. ต้องถือศีลครบถ้วน ซึ่งหมายถึงไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ในงานเสวนา เรื่อง "เจกับสุขภาพ" จัดโดยบริษัทสิทธิณี ครีเอชั่น ผู้ผลิตรายการความดีคู่แผ่นดิน กับเดอะมอลล์ ฟูดส์ซิตี้ รศ.ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ ประธานชมรมอาหารมังสวิรัติแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อาหารเจ นับเป็นอัลเทอร์เนทีฟ ฟู้ดส์ คืออีกแนวทางเลือกหนึ่ง สำหรับการเลือกกินเพื่อสุขภาพของคนไทยในยุคปัจจุบัน คนส่วนใหญ่เวลาป่วยไข้มักเลือกทานยาเป็นอาหาร การทานเจ คือการเลือกทานอาหารเป็นยา ซึ่งมันเป็นทางเลือกที่ต่างกัน เจรุ่นเก่า คือพวกที่รับประทานข้าวต้มเม็ดสีขาว จับฉ่า หมี่กึน หนำเลี๊ยบ ส่วนเจรุ่นใหม่ จะออกแนววิชาการ รับประทานพวกข้าวเม็ดสี พวกข้าวกล้องและประยุกต์รูปแบบอาหาร อาทิ นำหมี่กึนมาแปรรูป ให้หน้าตาใกล้เคียงเนื้อสัตว์ ทำให้ปัจจุบันมีเมนูอาหารที่หลากหลาย
"ผลการวิจัยทำให้เรามีข้อมูลว่าครอบครัวที่เลี้ยงลูกโดยให้รับประทานอาหารเจ เด็กจะมีสมาธิดีเลิศ ซึ่งต่างจากครอบครัวที่ไม่บริโภคเจเลย เด็กๆ จึงมักเป็นโรคสมาธิสั้น ฉะนั้นถือได้ว่า การทานอาหารเจ นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ห่วงใยสุขภาพในภาวะสังคมปัจจุบัน และเป็นเรื่องที่ดีที่จะเอื้ออำนวยต่อความเป็นอยู่ในชีวิตอย่างมหาศาล เพราะเป็นการละเว้นต่อสัตว์น้อยใหญ่ พร้อมมีอานิสงส์อย่างมากเลยทีเดียว"
รู้และเข้าใจการทานเจอย่างถูกต้อง
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า อาหารเจเป็นอาหารที่รสจืดชืดไม่อร่อย โอกาสลิ้มเพราะไม่มีเป็นความเข้าใจที่ผิด อาจเป็นรสอาหารเจที่แท้จริงก็เป็นได้ ที่สำคัญอาหารเจไม่มีกลิ่นเหม็นคาวใดๆ เลย อาหารเจบางอย่างคนทั่วไปอาจจะไม่มีโอกาสรู้จักหรือลิ้มรสเลยในชีวิต เนื่องจากเป็นอาหารที่รู้จักและทำรับประทานเฉพาะในบรรดาคนที่กินเจเท่านั้น
บางคนกล่าวว่า หากรับประทานแต่อาหารเจ จะเป็นโรคขาดอาหาร แต่ในความเป็นจริงทุกคนมีโอกาสเป็นโรคขาดสารอาหารได้เท่ากัน ถ้ารับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ในปริมาณเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และรับประทานอาหารตามใจตัว ตามใจปากของตัวเอง เพียงเพื่อความอร่อยลิ้นโดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับจากอาหาร
ที่จริงแล้วกลับจะเป็นคนที่กินเจอย่างมีหลักเสียอีกที่จะรู้สึกว่า ตนได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์มากกว่าคนที่บริโภคอาหารที่ประกอบจากเนื้อสัตว์เสียอีก ผู้ที่ลองรับประทานอาหารเจได้ระยะหนึ่ง ถึงกลับกล่าวว่าการกินอาหารเจทำให้มีโอกาสได้กินพืชผักที่มีคุณประโยชน์มากมายหลายชนิดซึ่งปกติเขาไม่เคยใส่ใจเลย
คนที่กินเจ รู้จักวิธีดัดแปลง แปรรูปธัญพืชในธรรมชาติให้ได้มาซึ่งโปรตีน เราจะเห็นผลิตภัณฑ์ที่แปรรูป จากเมล็ดถั่วเหลืองมากมายหลายชนิด เช่น นมถั่วเหลือง, น้ำเต้าหู้, เต้าหู้ขาว, เต้าหู้เหลือง, เต้าเจี้ยว, ซีอิ๊ว, ฟองเต้าหู้ ฯลฯ ผลิตภัณฑ์แปรรูปเหล่านี้ ล้วนเป็นแหล่งโปรตีนอันอุดมคุณค่าสูงยิ่ง
ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัสเซีย มีผู้คนอายุยืนถึง 120 ปี ไม่เพียงแต่อายุยืนเท่านั้นทุกคนมีพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ จากรายงานการสำรวจพบว่าหมู่บ้านแห่งนี้ ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงมีอากาศดี แสงแดดดี น้ำดื่มน้ำใช้สะอาด ผู้คนต่างดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารจำพวกเมล็ดธัญพืชผักและผลไม้เป็นหลัก ได้ออกกำลังกายในการทำงานเพาะปลูก อาหารส่วนใหญ่ ได้จากธรรมชาติรอบข้าง เช่น น้ำผึ้งป่า ผลไม้ป่า ฯลฯ การเพาะปลูกพีชผักที่ใช้เป็นอาหาร ไม่เคยใช้สารเคมีฆ่าแมลง หรือปุ๋ยเคมีใดๆ ลักษณะพื้นที่ไม่อำนวยต่อการเลี้ยงสัตว์เป็นอาหาร เนื้อสัตว์จึงหายากและไม่เป็นที่นิยมบริโภค ตั้งแต่บรรพบุรุษหลายร้อยปีมาแล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้จะรู้สึกโศกเศร้าเสียใจมาก หากมีคนเสียชีวิตขณะที่มีอายุ 80-90 ปี พวกเขาต่างกล่าวว่า " ช่างอายุสั้นจริงๆ "
แม้แต่เด็กทารกที่เกิดจากมารดา ซึ่งกินเจอย่างถูกหลัก ก็ไม่พบว่าเป็นเด็กขาดสารอาหารแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเด็กๆ ทุกคนล้วนมีร่างกายแข็งแรง สุขภาพอนามัยดีภูมิต้านทานสูง ปฏิภาณไหวพริบ สติปัญญาดี
ดังนั้น ถึงจะมีฐานะดี ร่ำรวยมหาศาล แต่ไม่รู้จักหลักการรับประทานอาหารให้ถูกต้องครบถ้วน ก็เป็นโรคขาดอาหารได้พอๆ กับคนยากจนอดอยากที่ไม่มีอาหารบริโภค ไม่ว่าจะทานเจหรือทานอาหารที่ประกอบจากเนื้อสัตว์ หากไม่รู้จักการกินที่ถูกต้องก็มีโอกาสเป็นโรคขาดสารอาหารได้เท่ากัน ทรัพย์สินเงินทองซื้อสุขภาพไม่ได้ สุขภาพดีขึ้นอยู่กับการรู้จักปฏิบัติของท่านเอง
เจ หรือแจ ในภาษาจีน มีความหมายทางศาสนาพุทธนิกายมหายานว่า "อุโบสถ" การกินเจหมายถึงรับประทานอาหารก่อนเที่ยง ถ้ารับประทานอาหารหลังเที่ยงจะถือว่ากินเจไม่ได้ เนื่องจากการถืออุโบสถของจีนจะต้องไม่กินเนื้อสัตว์ จึงเพี้ยนไปว่าการไม่กินเนื้อสัตว์เป็นการกินเจ
ประเพณีการกินเจมีตำนานเล่าว่าในสมัยพระเจ้าแผ่นดินราชวงศ์ยิ่น ฮ่วงสี ซึ่งแปลว่าผู้เป็นเจ้าใหญ่แห่งมนุษย์ ซึ่งชาวจีนนับถือมากและถือว่าเป็นผู้วิเศษมีอยู่ด้วยกัน 9 องค์พี่น้อง สวรรคตแล้วจุติเป็นดาวจระเข้เรียงกัน 9 ดวง จึงเรียกว่าเป็น "เก๊าฮวง ฮุดโจ้ว" ซึ่งจะเป็นผู้ที่ถือบัญชีคนในโลกมนุษย์ ต่อชีวิตแก่ผู้สิ้นอายุขัยให้ยืนยาวต่อไปได้ตามความต้องการ ชาวจีนจึงถือว่าระหว่างวันที่ 1-9 ค่ำ เดือน 9 เป็นวันที่ "เก๊าฮวง ฮุดโจ้ว" จะลงมาตรวจสอบจดบันทึกและบันดาลให้เป็นไปตามกรรมดีกรรมชั่วของแต่ละบุคคล ช่วงเวลาดังกล่าวคนจีนจึงพากันยกเว้นอาหารสดคาวเสียชั่วคราว เพื่อแสดงว่าตนได้ประกอบความดีให้พระเจ้าเห็น
สำหรับผู้ที่กินเจในสมัยนี้ นอกจากต้องการละเว้นจากการเบียดเบียนเนื้อสัตว์ด้วยการบริโภคบ้างสักระยะหนึ่งแล้ว ยังมีเรื่องของสุขภาพเข้ามารณรงค์ด้วย
การกินเจที่ถูกต้องคือ การกินรสชาติที่สะอาด ไม่มีงานหมักดอง เช่น เกี้ยมไฉ่ หนำเลี้ยบ สรุปคร่าวๆ ว่า การกินเจมีหลัก 4 อย่าง คือ
1. ไม่กินเนื้อสัตว์เลย ไม่ว่า นมหรือไข่
2. ไม่กินผักฉุน ได้แก่ กระเทียม หัวหอม กุยช่าย หลักเกียว(คล้ายกระเทียม) และใบยาสูบ
3. ไม่กินรสจัดและของหมักดอง
4. ต้องถือศีลครบถ้วน ซึ่งหมายถึงไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ในงานเสวนา เรื่อง "เจกับสุขภาพ" จัดโดยบริษัทสิทธิณี ครีเอชั่น ผู้ผลิตรายการความดีคู่แผ่นดิน กับเดอะมอลล์ ฟูดส์ซิตี้ รศ.ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ ประธานชมรมอาหารมังสวิรัติแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อาหารเจ นับเป็นอัลเทอร์เนทีฟ ฟู้ดส์ คืออีกแนวทางเลือกหนึ่ง สำหรับการเลือกกินเพื่อสุขภาพของคนไทยในยุคปัจจุบัน คนส่วนใหญ่เวลาป่วยไข้มักเลือกทานยาเป็นอาหาร การทานเจ คือการเลือกทานอาหารเป็นยา ซึ่งมันเป็นทางเลือกที่ต่างกัน เจรุ่นเก่า คือพวกที่รับประทานข้าวต้มเม็ดสีขาว จับฉ่า หมี่กึน หนำเลี๊ยบ ส่วนเจรุ่นใหม่ จะออกแนววิชาการ รับประทานพวกข้าวเม็ดสี พวกข้าวกล้องและประยุกต์รูปแบบอาหาร อาทิ นำหมี่กึนมาแปรรูป ให้หน้าตาใกล้เคียงเนื้อสัตว์ ทำให้ปัจจุบันมีเมนูอาหารที่หลากหลาย
"ผลการวิจัยทำให้เรามีข้อมูลว่าครอบครัวที่เลี้ยงลูกโดยให้รับประทานอาหารเจ เด็กจะมีสมาธิดีเลิศ ซึ่งต่างจากครอบครัวที่ไม่บริโภคเจเลย เด็กๆ จึงมักเป็นโรคสมาธิสั้น ฉะนั้นถือได้ว่า การทานอาหารเจ นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ห่วงใยสุขภาพในภาวะสังคมปัจจุบัน และเป็นเรื่องที่ดีที่จะเอื้ออำนวยต่อความเป็นอยู่ในชีวิตอย่างมหาศาล เพราะเป็นการละเว้นต่อสัตว์น้อยใหญ่ พร้อมมีอานิสงส์อย่างมากเลยทีเดียว"
รู้และเข้าใจการทานเจอย่างถูกต้อง
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า อาหารเจเป็นอาหารที่รสจืดชืดไม่อร่อย โอกาสลิ้มเพราะไม่มีเป็นความเข้าใจที่ผิด อาจเป็นรสอาหารเจที่แท้จริงก็เป็นได้ ที่สำคัญอาหารเจไม่มีกลิ่นเหม็นคาวใดๆ เลย อาหารเจบางอย่างคนทั่วไปอาจจะไม่มีโอกาสรู้จักหรือลิ้มรสเลยในชีวิต เนื่องจากเป็นอาหารที่รู้จักและทำรับประทานเฉพาะในบรรดาคนที่กินเจเท่านั้น
บางคนกล่าวว่า หากรับประทานแต่อาหารเจ จะเป็นโรคขาดอาหาร แต่ในความเป็นจริงทุกคนมีโอกาสเป็นโรคขาดสารอาหารได้เท่ากัน ถ้ารับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ในปริมาณเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และรับประทานอาหารตามใจตัว ตามใจปากของตัวเอง เพียงเพื่อความอร่อยลิ้นโดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับจากอาหาร
ที่จริงแล้วกลับจะเป็นคนที่กินเจอย่างมีหลักเสียอีกที่จะรู้สึกว่า ตนได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์มากกว่าคนที่บริโภคอาหารที่ประกอบจากเนื้อสัตว์เสียอีก ผู้ที่ลองรับประทานอาหารเจได้ระยะหนึ่ง ถึงกลับกล่าวว่าการกินอาหารเจทำให้มีโอกาสได้กินพืชผักที่มีคุณประโยชน์มากมายหลายชนิดซึ่งปกติเขาไม่เคยใส่ใจเลย
คนที่กินเจ รู้จักวิธีดัดแปลง แปรรูปธัญพืชในธรรมชาติให้ได้มาซึ่งโปรตีน เราจะเห็นผลิตภัณฑ์ที่แปรรูป จากเมล็ดถั่วเหลืองมากมายหลายชนิด เช่น นมถั่วเหลือง, น้ำเต้าหู้, เต้าหู้ขาว, เต้าหู้เหลือง, เต้าเจี้ยว, ซีอิ๊ว, ฟองเต้าหู้ ฯลฯ ผลิตภัณฑ์แปรรูปเหล่านี้ ล้วนเป็นแหล่งโปรตีนอันอุดมคุณค่าสูงยิ่ง
ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัสเซีย มีผู้คนอายุยืนถึง 120 ปี ไม่เพียงแต่อายุยืนเท่านั้นทุกคนมีพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ จากรายงานการสำรวจพบว่าหมู่บ้านแห่งนี้ ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงมีอากาศดี แสงแดดดี น้ำดื่มน้ำใช้สะอาด ผู้คนต่างดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารจำพวกเมล็ดธัญพืชผักและผลไม้เป็นหลัก ได้ออกกำลังกายในการทำงานเพาะปลูก อาหารส่วนใหญ่ ได้จากธรรมชาติรอบข้าง เช่น น้ำผึ้งป่า ผลไม้ป่า ฯลฯ การเพาะปลูกพีชผักที่ใช้เป็นอาหาร ไม่เคยใช้สารเคมีฆ่าแมลง หรือปุ๋ยเคมีใดๆ ลักษณะพื้นที่ไม่อำนวยต่อการเลี้ยงสัตว์เป็นอาหาร เนื้อสัตว์จึงหายากและไม่เป็นที่นิยมบริโภค ตั้งแต่บรรพบุรุษหลายร้อยปีมาแล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้จะรู้สึกโศกเศร้าเสียใจมาก หากมีคนเสียชีวิตขณะที่มีอายุ 80-90 ปี พวกเขาต่างกล่าวว่า " ช่างอายุสั้นจริงๆ "
แม้แต่เด็กทารกที่เกิดจากมารดา ซึ่งกินเจอย่างถูกหลัก ก็ไม่พบว่าเป็นเด็กขาดสารอาหารแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเด็กๆ ทุกคนล้วนมีร่างกายแข็งแรง สุขภาพอนามัยดีภูมิต้านทานสูง ปฏิภาณไหวพริบ สติปัญญาดี
ดังนั้น ถึงจะมีฐานะดี ร่ำรวยมหาศาล แต่ไม่รู้จักหลักการรับประทานอาหารให้ถูกต้องครบถ้วน ก็เป็นโรคขาดอาหารได้พอๆ กับคนยากจนอดอยากที่ไม่มีอาหารบริโภค ไม่ว่าจะทานเจหรือทานอาหารที่ประกอบจากเนื้อสัตว์ หากไม่รู้จักการกินที่ถูกต้องก็มีโอกาสเป็นโรคขาดสารอาหารได้เท่ากัน ทรัพย์สินเงินทองซื้อสุขภาพไม่ได้ สุขภาพดีขึ้นอยู่กับการรู้จักปฏิบัติของท่านเอง
ซากดึกดำบรรพ์
ซากดึกดำบรรพ์
ซากดึกดำบรรพ์หมายถึง ซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิต ทั้งที่มีกระดูกสันหลัง และไม่มีกระดูกสันหลัง และพืช ซึ่งถูกเก็บรักษาเอาไว้ในสภาพที่กลายเป็นหิน หรือแร่ ในชั้นหินของเปลือกโลก โดยกระบวนการทางธรรมชาติเท่านั้น ตัวอย่างของซากดึกดำบรรพ์ เช่น สุสานหอย จังหวัดกระบี่ ไดโนเสาร์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ในประเทศไทย
เมื่อไดโนเสาร์ตาย ส่วนอ่อนๆ เช่น เนื้อและหนังจะเน่าเปื่อยหลุดไป เหลือแต่ส่วนแข็ง เช่น กระดูกและฟัน ซึ่งจะถูกโคลนและทรายทับถมเอาไว้ ถ้าการทับถมของโคลนทรายเกิดขึ้นอย่าวรวดเร็วก็จะคงเรียงรายต่อกันในตำแหน่งที่มันเคยอยู่เป็นโครงร่าง แต่หากการทับถมเกิดขึ้นอย่าง ช้าๆกระดูกก็จะมีโอกาสถูกทำให้กระจัดกระจายปะปนกัน การทับถมของโคลนทรายทำให้อากาศและออกซิเจนซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเติบโตของแบคทีเรียไม่สามารถเข้าถึง ซากได้ ขณะเดียวกันน้ำและโคลนที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลไซต์ เหล็กซัลไฟด์และซิลิก้าก็ค่อยๆซึมเข้าไปในเนื้อกระดูก อุดตันโพรงและช่องว่างที่มีอยู่ ทำให้กระดูกเหล่านั้นแกร่งขึ้น สามารถรับน้ำหนักของหิน ดิน ทรายที่ทับถมต่อมาภายหลังได้ นานๆเข้ากระดูกจะกลายเป็นหิน มีเพียงฟันที่ไม่ค่อยจะถูกแปรสภาพเท่าไรเนื่องจากฟันเป็นส่วนที่แข็งที่สุด บางครั้งแร่ธาตุบางอย่างเข้าไปกัดกร่อนละลายกระดูกและทิ้งลักษณะกระดูกไว้เป็นโพรง โพรงเหล่านี้จึงกลายเป็นเสมือนแม่พิมพ์และต่อมาเมื่อแร่ธาตุอื่นเข้าไปอยู่เต็มโพรงก็จะเกิดเป็นรูปหล่อ ของชิ้นกระดูก บางครั้งเมื่อไดโนเสาร์ตายใหม่ๆแล้วถูกทับถมด้วยโคลนแล้วเนื้อหนังเปื่อยเน่าเป็นโพรงก็จะเกิดรูปหล่อของรอยผิวหนังทำให้เรารู้ลักษณะของผิวหนัง ในที่บางแห่งซากไดโนเสาร์ ถูกน้ำพัดพามาทับถมอยู่ด้วยกันเกิดเป็นชั้นสะสมของกระดูกไดโนเสาร์
นอกจากฟอสซิลกระดูก ฟันและร่องรอยของผิวหนังแล้ว ไดโนเสาร์ยังทิ้งรอยเท้าไว้บนโคลน ฟอสซิลรอยเท้าเหล่านี้ทำให้ทราบ ถึงชนิด ลักษณะท่าทางของไดโนเสาร์เช่น เดิน 2 ขาหรือ 4 ขา เชื่องช้าหรือว่องไว อยู่เป็นฝูงหรืออยู่เดี่ยวๆ บางครั้งพบมูลของไดโนเสาร์กลายเป็นฟอสซิล เรียกว่า คอบโปรไลท์ ซึ่งทำให้ทราบถึงขนาดและลักษณะของลำไส้ ไข่ไดโนเสาร์ที่พบเป็นฟอสซิลก็ทำให้ทราบว่าไดโนเสาร์ออกลูกเป็นไข่ บางครั้งพบตัวอ่อนอยู่ในไข่ทำให้รู้ว่าเป็นไข่ของไดโนเสาร์ชนิดไหน นอกจากนี้ยังมีการค้นพบโครงกระดูกไดโนเสาร์ในลักษณะกำลังกกไข่อยู่ในรัง ทำให้รู้ว่าไดโนเสาร์บางชนิดก็ดูแลลูกอ่อนด้วย
เมื่อยุคไดโนเสาร์ผ่านไปหลายล้านปีชั้นของทรายและโคลนยังคงทับซากไดโนเสาร์ไว้จนกลายเป็นหินและถูกผนึก ไว้ในชั้นหินด้วยซีเมนต์ธรรมชาติได้แก่ โคลนทราย จนเมื่อพื้นผิวโลกมีการเคลื่อนตัว ชั้นหินบางส่วนถูกยกตัวสูงขึ้นแล้วเกิดการกัดกร่อนทำลายชั้นหินโดยความร้อนจากดวงอาทิตย์ ความเย็นจากน้ำแข็ง ฝน และลม จนกระทั่งถึงชั้นที่มีฟอสซิลอยู่ทำให้บางส่วนของฟอสซิลโผล่ออกมาเป็นร่องรอยให้นักวิทยาศาสตร์มาขุดค้นต่อไป
เนื่องจากไดโนเสาร์เป็นสัตว์บก มีชีวิตอยู่ในช่วงยุค Triassic ถึง Cretaceous หรือประมาณ 245-65 ล้านปีมาแล้ว ดังนั้นซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์จึงพบอยู่ในชั้นหินตะกอนที่สะสมตัวบนบกในช่วงยุค Triassic ถึง Cretaceous หรือหินในช่วงมหายุค Mesozoic จากการสำรวจธรณีวิทยาในประเทศไทย พบว่าหินที่มีอายุดังกล่าวพบโผล่อยู่ทั่วไปในบริเวณที่ราบสูงโคราชและพบเป็นแห่งๆในภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศไทย ชั้นหินดังกล่าวประกอบด้วย หินดินดาน หินทรายแป้ง หินทรายและ หินกรวดมนมีสีน้ำตาลแดงเป็นส่วนใหญ่ ตอนบนของหินชุดนี้มีชั้นของเกลือหินและยิปซั่มอยู่ด้วย เนื่องจากชั้นหินเหล่านี้มีสีแดงเกือบทั้งหมดจึงเรียกหินชุดนี้ว่า ชั้นหินตะกอนแดง(red bed) ซึ่ง เรารู้จักกันในชื่อ กลุ่มหินโคราช หินกลุ่มนี้มีความหนากว่า 4,000 เมตร ดังนั้นจึงพบซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์และสัตว์มีกระดูกสันหลังอื่นๆอยู่ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากมายหลาย แห่ง เช่น ภูเวียง ภูพาน และภูหลวงเป็นต้น
การค้นหาฟอสซิลของไดโนเสาร์ในประเทศไทยเพิ่งเริ่มต้นในทศวรรษที่ผ่านมานี้เองโดยโครงการศึกษาวิจัยฟอสซิลของสัตว์ มีกระดูกสันหลังในประเทศไทย กรมทรัพยากรธรณี ก่อนหน้านี้มีรายงานการวิจัยฟอสซิลของสัตว์มีกระดูกสันหลังน้อยมาก ในปีพ.ศ.2519 กรมทรัพยากรธรณีได้ค้นพบกระดูกขนาดใหญ่ จากภูเวียง จังหวัดขอนแก่นแต่ผลการวิจัยขณะนั้นทราบเพียงว่าเป็นไดโนเสาร์ซอโรพอด พวกกินพืช เดิน 4 เท้า คอยาว หางยาว มีความยาวประมาณ 15 เมตร ซึ่งนับว่าเป็นรายงานการ ค้นพบไดโนเสาร์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ต่อมาในปีพ.ศ.2524 และ2525ได้มีการสำรวจที่บริเวณภูเวียงอีกทำให้พบกระดูกส่วนต่างๆของไดโนเสาร์และสัตว์อื่นๆเป็นจำนวนมากอยู่ในชั้นหิน จึง นับได้ว่าเป็นการเริ่มต้นการค้นหาฟอสซิลไดโนเสาร์อย่างจริง
ประโยชน์ของการศึกษาซากดึกดำบรรพ์
ประมาณ 4,600 ล้านปีมาแล้ว นับจากนั้นมาสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวแรกเริ่มเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3,000 ล้านปีมาแล้ว และได้มีวิวัฒนาการซับซ้อนสูงมาจนถึงมนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งในช่วงแรกๆ ยังไม่พบซากดึกดำบรรพ์ ปลากฏให้เห็น ซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดที่สำรวจพบ มีอายุ 500-600 ล้านปี การศึกษาด้านบรรพชีวินวิทยาหรือโบราณชีววิทยา (Paleontology) นี้ทำให้เราได้ทราบถึงลักษณะ และวิวัฒนาการของสัตว์ต่างๆ
ทำให้ทราบถึงและเป็นหลักฐานในการศึกษาสภาพแวดล้อมลักษณะการสะสมตัวของชั้นหิน สภาวะอากาศสมัยบรรพกาล สภาพภูมิประเทศสมัยโบราณในขณะที่สัตว์เหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ คือ บอกเล่าถึงธรณีประวัติของโลก หรือเปรียบเสมือนสมุดบันทึกเล่มใหญ่เล่าความเป็นมาของโลก และสิ่งมีชีวิตบนโลกนั่นเอง
เป็นข้อมูลเพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์เปรียบเทียบระหว่างชั้นหินในพื้นที่ต่างๆ กัน เช่น ถ้าพบซากดึกดำบรรพ์กลุ่มเดียวกันและเป็นชนิด (Species) เดียวกัน แน่นอน แสดงว่าในชั้นหินที่พบซากดึกดำบรรพ์ดังกล่าวนั้น แม้ว่าอยู่ที่ต่างกัน แต่เกิดการสะสมตัวเป็นชั้นตะกอนในแอ่งสะสมตัวในช่วงเวลาเดียวกัน เรียกว่ามีอายุเดียวกันทางธรณีกาล ทำให้นักธรณีวิทยาสามารถหาอายุเปรียบเทียบชั้นหินได้ ซากดึกดำบรรพ์จึงเป็นหลักฐานที่ดีอย่างหนึ่งในการศึกษา และหาความสัมพันธ์ของชั้นหินตะกอน ซึ่งในการศึกษาอย่างละเอียดร่วมกับการศึกษาและการใช้เครื่องมือสมัยใหม่ที่ก้าวหน้ามาก เช่น เครื่องมือทางธรณีฟิสิกส์ ทำให้มีความสำคัญต่อการหาแหล่งทรัพยากร ยกตัวอย่างเช่น การหาแหล่งน้ำมัน ถ่านหิน เชื้อเพลิง ธรรมชาติอื่นๆ และแร่เศรษฐกิจ
ซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์บริเวณแหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูเวียง มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์หลายชนิดในชั้นหินของหมวดหินเสาขัว บริเวณแหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูเวียง ดังนี้
บริเวณแหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูเวียง จังหวัดขอนแก่น
ซากดึกดำบรรพ์สยามโมไทรันนัส
ซากดึกดำบรรพ์สยามโมไทรันนัส ถูกค้นพบที่บริเวณหินลาดยาว อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2536 โดยพบกระดูกสันหลังหลายชิ้นโผล่ออกมาจากชั้นดินทรายสีแดงของหินหมวดเสาขัว ต่อมาพบกระดูกสะโพกด้านซ้าย และกระดูกส่วนหางอีกหลายชิ้นเรียงต่อกัน หลังจากที่คณะสำรวจไทย-ฝรั่งเศสได้ทำการศึกษาอย่างละเอียดแล้วก็พบว่า เป็นไดโนเสาร์ตระกูลใหม่ของไทย จึงได้ตั้งชื่อว่า สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส (Siamotyrannus isanensis)
ซากดึกดำบรรพ์ภูเวียงโกซอรัส
ซากดึกดำบรรพ์ภูเวียงโกซอรัส ถูกค้นพบที่บริเวณประตูตีหมา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ประกอบด้วยกระดูกสันหลังส่วนคอ 3 ชิ้น กระดูกสันหลังส่วนกลางตัว 4 ชิ้น กระดูกซี่โครงหลายชิ้น กระดูกสะบักซ้ายและส่วนปลายสะบักขวา กระดูกต้นขาหน้าซ้าย บางส่วนของกระดูกแขน กระดูกสะโพกทั้งสองข้าง กระดูกต้นขาทั้งสองข้าง และกระดูกหน้าแข้งซ้าย ลักษณะของกระดูกที่พบบอกได้ว่าเป็นไดโนเสาร์ซอโรพอดขนาดใหญ่ มีขนาดใกล้เคียงกับ คัมมาราซอรัส ที่ถูกค้นพบในทวีปอเมริกาเหนือ แต่ไม่เหมือนกันทีเดียว จึงอัญเชิญพระนามาภิไธย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาตั้งเป็นชื่อใหม่ว่า ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ (Phuwiangosauraus sirindhornae)
ซากดึกดำบรรพ์สยามโมซอรัส
ซากดึกดำบรรพ์สยามโมซอรัส พบเพียงแค่ฟัน ที่บริเวณประตูตีหมา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น โดยฟันที่ค้นพบมีลักษณะเป็นแท่งกรวยปลายแหลม มีสันเล็กๆ ยาวตลอดฟัน ซึ่งต่างจากฟันของไดโนเสาร์เทอโรพอดทั่วไป ที่แบน และมีรอยหยัก สันนิษฐานว่าสยามโมซอรัสเป็นเทอโรพอดที่มีลักษณะปากคล้ายสัตว์เลื้อยคลานพวกกินปลา หรือเพลสซิโอซอร์ และได้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ นายวราวุธ สุธีธร ผู้ค้นพบ ว่า สยามโมซอรัส สุธีธรนิ (Siamosaurus suteethorni)
ซากดึกดำบรรพ์คาร์โนซอร์
ซากดึกดำบรรพ์คาร์โนซอร์ พบเพียงแค่ฟัน ที่บริเวณประตูตีหมา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น โดยฟันที่ค้นพบมีลักษณะแบน ปลายแหลม โค้งงอเล็กน้อยคล้ายมีดโค้ง ที่ขอบมีรอยหยักเหมือนมีดหั่นเนื้อ ฟันลักษณะนี้เป็นฟันของไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่พวกเทอโรพอด ซึ่งคาดว่าเป็นไดโนเสาร์คาร์โนซอร์
จากการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์เป็นจำนวนมากที่แหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูเวียงนี่เอง ทำให้บริเวณนี้ถูกประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2535 และเป็นอุทยานไดโนเสาร์แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซากดึกดำบรรพ์ซิททาโคซอรัส
ซิททาโคซอรัส เป็นไดโนเสาร์ปากนกแก้วชนิดหนึ่ง แต่เดิมพบเฉพาะในบริเวณประเทศจีน ประเทศมองโกเลีย และไซบีเรีย สำหรับในประเทศไทยพบซากดึกดำบรรพ์ซิททาโคซอรัสที่จังหวัดชัยภูมิ ในชั้นหินของหมวดหินโคกกรวด ซึ่งประกอบด้วย ส่วนที่เป็นกะโหลกด้านซ้าย และกรามล่างด้านขวาที่มีฟันครบ และได้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ นายนเรศ สัตยารักษ์ ผู้ค้นพบ ว่า ซิททาโคซอรัส สัตยารักษ์คิ (Psittacosaurus sattayaraki)
ซากดึกดำบรรพ์อิกธิโอซอร์
ดร.จงพันธ์ จงลักษมณี นักโบราณชีววิทยาของกรมทรัพยากรธรณี ได้พบฟอสซิลของอิกธิโอซอร์ ขนาดตัวยาวเพียง 20 ซม. ในหินปูนยุคไทรแอสสิกตอนปลาย ที่เขาทอง จังหวัดพัทลุง อิกธิโอซอร์ที่พบตัวนี้มีวิวัฒนาการอยู่ในช่วงปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตในทะเลยังไม่สมบูรณ์ดี แขนทั้งสองข้างยังเปลี่ยนเป็นใบพายไม่สมบูรณ์นัก รูปร่างและโครงสร้างของกะโหลกยังเหลือร่องรอยของการสืบทอดจาก บกอยู่มาก
ฟอสซิลของอิกธิโอซอร์ชิ้นนี้นั้บเป็นอิกธิโอซอร์ที่โบราณมาก แตกต่างไปจากพวกที่เคยพบมาแล้ว จึงได้ชื่อใหม่ว่า "ไทยซอรัส จงลักษมณี" (Thaisaurus chonglakmanii) เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ
ไดโนเสาร์ : ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ ( Phuwiangosaurus sirindhornae , Martin,Buffetaut and Suteethorn,1994 )
การค้นหาซากดึกดำบรรพ์สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังในประเทศไทย เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2523 โดยความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศส แต่ความร่วมมืออย่างเป็นทางการผ่านกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส เริ่มในปี พ.ศ. 2531 โดยเน้นหนักทางด้านซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง และได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กรมทรัพยากรธรณี กรุงเทพ ฯ กระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส และCentre National de la Recherche Scientifique (Paris) ในปี พ.ศ. 2519 นายสุธรรม แย้มนิยม จากโครงการสำรวจแร่ยูเรเนี่ยม ได้ค้นพบกระดูกขนาดใหญ่ท่อนหนึ่ง ที่ อ. ภูเวียง จ. ขอนแก่น ซึ่งได้รับความสนใจจากนักโบราณชีววิทยา ชาวฝรั่งเศส จึงได้ทำการตรวจสอบวิจัยในเวลาต่อมา แต่ผลของการวิจัยไม่สามารถระบุได้ว่า เป็นไดโนเสาร์สกุลใด เพียงแต่บอกได้ว่าเป็นไดโนเสาร์ซอโรพอด พวกกินพืช เดิน 4 เท้า คอยาว หางยาว โดยไดโนเสาร์นี้มีความยาวประมาณ 15 เมตร นับว่าเป็นรายงานการค้นพบไดโนเสาร์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และจากการสำรวจของคณะสำรวจไดโนเสาร์ ไทย – ฝรั่งเศส ได้ขุดพบกระดูกของไดโนเสาร์ซอโรพอดอีกหลายแห่งและมีจำนวนมากพอที่จะทำการศึกษาวิจัยอย่างละเอียด คณะสำรวจ ฯ จึงได้ทำการคัดเลือกนักศึกษาปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยปารีสมาทำการวิจัยในหัวข้อเรื่อง “ ไดโนเสาร์ซอโรพอด ยุคครีเตเชียสตอนต้น ของประเทศไทย ” โดยมี ดร. อิริค บุพโต และ นายวราวุธ สุธีธร เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา รายงานการวิจัยสำเร็จและได้นำเสนอเมื่อ เดือน พ.ย. 2537 พบว่าซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ซอโรพอดที่ขุดพบในประเทศไทยเป็นไดโนเสาร์สกุลใหม่ จึงได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ขอพระราชทานพระราชานุญาตอันเชิญพระนามาภิไธย เป็นชื่อไดโนเสาร์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ไม่ทรงขัดข้อง ฉะนั้นไดโนเสาร์นี้จึงมีชื่อว่า ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่,Phuwiangosaurus sirindhornae , Martin, Bbuffetaut and Suteethorn,1994 รายงานการวิจัยฉบับนี้ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเศส COMPTESRENDUS DE L A CADEMIE DES SCIENCES, T.319, serie II, sohk 1085 – 1092 เมื่อปี ค.ศ. 1994
ซากดึกดำบรรพ์หมายถึง ซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิต ทั้งที่มีกระดูกสันหลัง และไม่มีกระดูกสันหลัง และพืช ซึ่งถูกเก็บรักษาเอาไว้ในสภาพที่กลายเป็นหิน หรือแร่ ในชั้นหินของเปลือกโลก โดยกระบวนการทางธรรมชาติเท่านั้น ตัวอย่างของซากดึกดำบรรพ์ เช่น สุสานหอย จังหวัดกระบี่ ไดโนเสาร์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ในประเทศไทย
เมื่อไดโนเสาร์ตาย ส่วนอ่อนๆ เช่น เนื้อและหนังจะเน่าเปื่อยหลุดไป เหลือแต่ส่วนแข็ง เช่น กระดูกและฟัน ซึ่งจะถูกโคลนและทรายทับถมเอาไว้ ถ้าการทับถมของโคลนทรายเกิดขึ้นอย่าวรวดเร็วก็จะคงเรียงรายต่อกันในตำแหน่งที่มันเคยอยู่เป็นโครงร่าง แต่หากการทับถมเกิดขึ้นอย่าง ช้าๆกระดูกก็จะมีโอกาสถูกทำให้กระจัดกระจายปะปนกัน การทับถมของโคลนทรายทำให้อากาศและออกซิเจนซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเติบโตของแบคทีเรียไม่สามารถเข้าถึง ซากได้ ขณะเดียวกันน้ำและโคลนที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลไซต์ เหล็กซัลไฟด์และซิลิก้าก็ค่อยๆซึมเข้าไปในเนื้อกระดูก อุดตันโพรงและช่องว่างที่มีอยู่ ทำให้กระดูกเหล่านั้นแกร่งขึ้น สามารถรับน้ำหนักของหิน ดิน ทรายที่ทับถมต่อมาภายหลังได้ นานๆเข้ากระดูกจะกลายเป็นหิน มีเพียงฟันที่ไม่ค่อยจะถูกแปรสภาพเท่าไรเนื่องจากฟันเป็นส่วนที่แข็งที่สุด บางครั้งแร่ธาตุบางอย่างเข้าไปกัดกร่อนละลายกระดูกและทิ้งลักษณะกระดูกไว้เป็นโพรง โพรงเหล่านี้จึงกลายเป็นเสมือนแม่พิมพ์และต่อมาเมื่อแร่ธาตุอื่นเข้าไปอยู่เต็มโพรงก็จะเกิดเป็นรูปหล่อ ของชิ้นกระดูก บางครั้งเมื่อไดโนเสาร์ตายใหม่ๆแล้วถูกทับถมด้วยโคลนแล้วเนื้อหนังเปื่อยเน่าเป็นโพรงก็จะเกิดรูปหล่อของรอยผิวหนังทำให้เรารู้ลักษณะของผิวหนัง ในที่บางแห่งซากไดโนเสาร์ ถูกน้ำพัดพามาทับถมอยู่ด้วยกันเกิดเป็นชั้นสะสมของกระดูกไดโนเสาร์
นอกจากฟอสซิลกระดูก ฟันและร่องรอยของผิวหนังแล้ว ไดโนเสาร์ยังทิ้งรอยเท้าไว้บนโคลน ฟอสซิลรอยเท้าเหล่านี้ทำให้ทราบ ถึงชนิด ลักษณะท่าทางของไดโนเสาร์เช่น เดิน 2 ขาหรือ 4 ขา เชื่องช้าหรือว่องไว อยู่เป็นฝูงหรืออยู่เดี่ยวๆ บางครั้งพบมูลของไดโนเสาร์กลายเป็นฟอสซิล เรียกว่า คอบโปรไลท์ ซึ่งทำให้ทราบถึงขนาดและลักษณะของลำไส้ ไข่ไดโนเสาร์ที่พบเป็นฟอสซิลก็ทำให้ทราบว่าไดโนเสาร์ออกลูกเป็นไข่ บางครั้งพบตัวอ่อนอยู่ในไข่ทำให้รู้ว่าเป็นไข่ของไดโนเสาร์ชนิดไหน นอกจากนี้ยังมีการค้นพบโครงกระดูกไดโนเสาร์ในลักษณะกำลังกกไข่อยู่ในรัง ทำให้รู้ว่าไดโนเสาร์บางชนิดก็ดูแลลูกอ่อนด้วย
เมื่อยุคไดโนเสาร์ผ่านไปหลายล้านปีชั้นของทรายและโคลนยังคงทับซากไดโนเสาร์ไว้จนกลายเป็นหินและถูกผนึก ไว้ในชั้นหินด้วยซีเมนต์ธรรมชาติได้แก่ โคลนทราย จนเมื่อพื้นผิวโลกมีการเคลื่อนตัว ชั้นหินบางส่วนถูกยกตัวสูงขึ้นแล้วเกิดการกัดกร่อนทำลายชั้นหินโดยความร้อนจากดวงอาทิตย์ ความเย็นจากน้ำแข็ง ฝน และลม จนกระทั่งถึงชั้นที่มีฟอสซิลอยู่ทำให้บางส่วนของฟอสซิลโผล่ออกมาเป็นร่องรอยให้นักวิทยาศาสตร์มาขุดค้นต่อไป
เนื่องจากไดโนเสาร์เป็นสัตว์บก มีชีวิตอยู่ในช่วงยุค Triassic ถึง Cretaceous หรือประมาณ 245-65 ล้านปีมาแล้ว ดังนั้นซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์จึงพบอยู่ในชั้นหินตะกอนที่สะสมตัวบนบกในช่วงยุค Triassic ถึง Cretaceous หรือหินในช่วงมหายุค Mesozoic จากการสำรวจธรณีวิทยาในประเทศไทย พบว่าหินที่มีอายุดังกล่าวพบโผล่อยู่ทั่วไปในบริเวณที่ราบสูงโคราชและพบเป็นแห่งๆในภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศไทย ชั้นหินดังกล่าวประกอบด้วย หินดินดาน หินทรายแป้ง หินทรายและ หินกรวดมนมีสีน้ำตาลแดงเป็นส่วนใหญ่ ตอนบนของหินชุดนี้มีชั้นของเกลือหินและยิปซั่มอยู่ด้วย เนื่องจากชั้นหินเหล่านี้มีสีแดงเกือบทั้งหมดจึงเรียกหินชุดนี้ว่า ชั้นหินตะกอนแดง(red bed) ซึ่ง เรารู้จักกันในชื่อ กลุ่มหินโคราช หินกลุ่มนี้มีความหนากว่า 4,000 เมตร ดังนั้นจึงพบซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์และสัตว์มีกระดูกสันหลังอื่นๆอยู่ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากมายหลาย แห่ง เช่น ภูเวียง ภูพาน และภูหลวงเป็นต้น
การค้นหาฟอสซิลของไดโนเสาร์ในประเทศไทยเพิ่งเริ่มต้นในทศวรรษที่ผ่านมานี้เองโดยโครงการศึกษาวิจัยฟอสซิลของสัตว์ มีกระดูกสันหลังในประเทศไทย กรมทรัพยากรธรณี ก่อนหน้านี้มีรายงานการวิจัยฟอสซิลของสัตว์มีกระดูกสันหลังน้อยมาก ในปีพ.ศ.2519 กรมทรัพยากรธรณีได้ค้นพบกระดูกขนาดใหญ่ จากภูเวียง จังหวัดขอนแก่นแต่ผลการวิจัยขณะนั้นทราบเพียงว่าเป็นไดโนเสาร์ซอโรพอด พวกกินพืช เดิน 4 เท้า คอยาว หางยาว มีความยาวประมาณ 15 เมตร ซึ่งนับว่าเป็นรายงานการ ค้นพบไดโนเสาร์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ต่อมาในปีพ.ศ.2524 และ2525ได้มีการสำรวจที่บริเวณภูเวียงอีกทำให้พบกระดูกส่วนต่างๆของไดโนเสาร์และสัตว์อื่นๆเป็นจำนวนมากอยู่ในชั้นหิน จึง นับได้ว่าเป็นการเริ่มต้นการค้นหาฟอสซิลไดโนเสาร์อย่างจริง
ประโยชน์ของการศึกษาซากดึกดำบรรพ์
ประมาณ 4,600 ล้านปีมาแล้ว นับจากนั้นมาสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวแรกเริ่มเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3,000 ล้านปีมาแล้ว และได้มีวิวัฒนาการซับซ้อนสูงมาจนถึงมนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งในช่วงแรกๆ ยังไม่พบซากดึกดำบรรพ์ ปลากฏให้เห็น ซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดที่สำรวจพบ มีอายุ 500-600 ล้านปี การศึกษาด้านบรรพชีวินวิทยาหรือโบราณชีววิทยา (Paleontology) นี้ทำให้เราได้ทราบถึงลักษณะ และวิวัฒนาการของสัตว์ต่างๆ
ทำให้ทราบถึงและเป็นหลักฐานในการศึกษาสภาพแวดล้อมลักษณะการสะสมตัวของชั้นหิน สภาวะอากาศสมัยบรรพกาล สภาพภูมิประเทศสมัยโบราณในขณะที่สัตว์เหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ คือ บอกเล่าถึงธรณีประวัติของโลก หรือเปรียบเสมือนสมุดบันทึกเล่มใหญ่เล่าความเป็นมาของโลก และสิ่งมีชีวิตบนโลกนั่นเอง
เป็นข้อมูลเพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์เปรียบเทียบระหว่างชั้นหินในพื้นที่ต่างๆ กัน เช่น ถ้าพบซากดึกดำบรรพ์กลุ่มเดียวกันและเป็นชนิด (Species) เดียวกัน แน่นอน แสดงว่าในชั้นหินที่พบซากดึกดำบรรพ์ดังกล่าวนั้น แม้ว่าอยู่ที่ต่างกัน แต่เกิดการสะสมตัวเป็นชั้นตะกอนในแอ่งสะสมตัวในช่วงเวลาเดียวกัน เรียกว่ามีอายุเดียวกันทางธรณีกาล ทำให้นักธรณีวิทยาสามารถหาอายุเปรียบเทียบชั้นหินได้ ซากดึกดำบรรพ์จึงเป็นหลักฐานที่ดีอย่างหนึ่งในการศึกษา และหาความสัมพันธ์ของชั้นหินตะกอน ซึ่งในการศึกษาอย่างละเอียดร่วมกับการศึกษาและการใช้เครื่องมือสมัยใหม่ที่ก้าวหน้ามาก เช่น เครื่องมือทางธรณีฟิสิกส์ ทำให้มีความสำคัญต่อการหาแหล่งทรัพยากร ยกตัวอย่างเช่น การหาแหล่งน้ำมัน ถ่านหิน เชื้อเพลิง ธรรมชาติอื่นๆ และแร่เศรษฐกิจ
ซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์บริเวณแหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูเวียง มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์หลายชนิดในชั้นหินของหมวดหินเสาขัว บริเวณแหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูเวียง ดังนี้
บริเวณแหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูเวียง จังหวัดขอนแก่น
ซากดึกดำบรรพ์สยามโมไทรันนัส
ซากดึกดำบรรพ์สยามโมไทรันนัส ถูกค้นพบที่บริเวณหินลาดยาว อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2536 โดยพบกระดูกสันหลังหลายชิ้นโผล่ออกมาจากชั้นดินทรายสีแดงของหินหมวดเสาขัว ต่อมาพบกระดูกสะโพกด้านซ้าย และกระดูกส่วนหางอีกหลายชิ้นเรียงต่อกัน หลังจากที่คณะสำรวจไทย-ฝรั่งเศสได้ทำการศึกษาอย่างละเอียดแล้วก็พบว่า เป็นไดโนเสาร์ตระกูลใหม่ของไทย จึงได้ตั้งชื่อว่า สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส (Siamotyrannus isanensis)
ซากดึกดำบรรพ์ภูเวียงโกซอรัส
ซากดึกดำบรรพ์ภูเวียงโกซอรัส ถูกค้นพบที่บริเวณประตูตีหมา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ประกอบด้วยกระดูกสันหลังส่วนคอ 3 ชิ้น กระดูกสันหลังส่วนกลางตัว 4 ชิ้น กระดูกซี่โครงหลายชิ้น กระดูกสะบักซ้ายและส่วนปลายสะบักขวา กระดูกต้นขาหน้าซ้าย บางส่วนของกระดูกแขน กระดูกสะโพกทั้งสองข้าง กระดูกต้นขาทั้งสองข้าง และกระดูกหน้าแข้งซ้าย ลักษณะของกระดูกที่พบบอกได้ว่าเป็นไดโนเสาร์ซอโรพอดขนาดใหญ่ มีขนาดใกล้เคียงกับ คัมมาราซอรัส ที่ถูกค้นพบในทวีปอเมริกาเหนือ แต่ไม่เหมือนกันทีเดียว จึงอัญเชิญพระนามาภิไธย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาตั้งเป็นชื่อใหม่ว่า ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ (Phuwiangosauraus sirindhornae)
ซากดึกดำบรรพ์สยามโมซอรัส
ซากดึกดำบรรพ์สยามโมซอรัส พบเพียงแค่ฟัน ที่บริเวณประตูตีหมา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น โดยฟันที่ค้นพบมีลักษณะเป็นแท่งกรวยปลายแหลม มีสันเล็กๆ ยาวตลอดฟัน ซึ่งต่างจากฟันของไดโนเสาร์เทอโรพอดทั่วไป ที่แบน และมีรอยหยัก สันนิษฐานว่าสยามโมซอรัสเป็นเทอโรพอดที่มีลักษณะปากคล้ายสัตว์เลื้อยคลานพวกกินปลา หรือเพลสซิโอซอร์ และได้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ นายวราวุธ สุธีธร ผู้ค้นพบ ว่า สยามโมซอรัส สุธีธรนิ (Siamosaurus suteethorni)
ซากดึกดำบรรพ์คาร์โนซอร์
ซากดึกดำบรรพ์คาร์โนซอร์ พบเพียงแค่ฟัน ที่บริเวณประตูตีหมา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น โดยฟันที่ค้นพบมีลักษณะแบน ปลายแหลม โค้งงอเล็กน้อยคล้ายมีดโค้ง ที่ขอบมีรอยหยักเหมือนมีดหั่นเนื้อ ฟันลักษณะนี้เป็นฟันของไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่พวกเทอโรพอด ซึ่งคาดว่าเป็นไดโนเสาร์คาร์โนซอร์
จากการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์เป็นจำนวนมากที่แหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูเวียงนี่เอง ทำให้บริเวณนี้ถูกประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2535 และเป็นอุทยานไดโนเสาร์แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซากดึกดำบรรพ์ซิททาโคซอรัส
ซิททาโคซอรัส เป็นไดโนเสาร์ปากนกแก้วชนิดหนึ่ง แต่เดิมพบเฉพาะในบริเวณประเทศจีน ประเทศมองโกเลีย และไซบีเรีย สำหรับในประเทศไทยพบซากดึกดำบรรพ์ซิททาโคซอรัสที่จังหวัดชัยภูมิ ในชั้นหินของหมวดหินโคกกรวด ซึ่งประกอบด้วย ส่วนที่เป็นกะโหลกด้านซ้าย และกรามล่างด้านขวาที่มีฟันครบ และได้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ นายนเรศ สัตยารักษ์ ผู้ค้นพบ ว่า ซิททาโคซอรัส สัตยารักษ์คิ (Psittacosaurus sattayaraki)
ซากดึกดำบรรพ์อิกธิโอซอร์
ดร.จงพันธ์ จงลักษมณี นักโบราณชีววิทยาของกรมทรัพยากรธรณี ได้พบฟอสซิลของอิกธิโอซอร์ ขนาดตัวยาวเพียง 20 ซม. ในหินปูนยุคไทรแอสสิกตอนปลาย ที่เขาทอง จังหวัดพัทลุง อิกธิโอซอร์ที่พบตัวนี้มีวิวัฒนาการอยู่ในช่วงปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตในทะเลยังไม่สมบูรณ์ดี แขนทั้งสองข้างยังเปลี่ยนเป็นใบพายไม่สมบูรณ์นัก รูปร่างและโครงสร้างของกะโหลกยังเหลือร่องรอยของการสืบทอดจาก บกอยู่มาก
ฟอสซิลของอิกธิโอซอร์ชิ้นนี้นั้บเป็นอิกธิโอซอร์ที่โบราณมาก แตกต่างไปจากพวกที่เคยพบมาแล้ว จึงได้ชื่อใหม่ว่า "ไทยซอรัส จงลักษมณี" (Thaisaurus chonglakmanii) เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ
ไดโนเสาร์ : ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ ( Phuwiangosaurus sirindhornae , Martin,Buffetaut and Suteethorn,1994 )
การค้นหาซากดึกดำบรรพ์สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังในประเทศไทย เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2523 โดยความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศส แต่ความร่วมมืออย่างเป็นทางการผ่านกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส เริ่มในปี พ.ศ. 2531 โดยเน้นหนักทางด้านซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง และได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กรมทรัพยากรธรณี กรุงเทพ ฯ กระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส และCentre National de la Recherche Scientifique (Paris) ในปี พ.ศ. 2519 นายสุธรรม แย้มนิยม จากโครงการสำรวจแร่ยูเรเนี่ยม ได้ค้นพบกระดูกขนาดใหญ่ท่อนหนึ่ง ที่ อ. ภูเวียง จ. ขอนแก่น ซึ่งได้รับความสนใจจากนักโบราณชีววิทยา ชาวฝรั่งเศส จึงได้ทำการตรวจสอบวิจัยในเวลาต่อมา แต่ผลของการวิจัยไม่สามารถระบุได้ว่า เป็นไดโนเสาร์สกุลใด เพียงแต่บอกได้ว่าเป็นไดโนเสาร์ซอโรพอด พวกกินพืช เดิน 4 เท้า คอยาว หางยาว โดยไดโนเสาร์นี้มีความยาวประมาณ 15 เมตร นับว่าเป็นรายงานการค้นพบไดโนเสาร์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และจากการสำรวจของคณะสำรวจไดโนเสาร์ ไทย – ฝรั่งเศส ได้ขุดพบกระดูกของไดโนเสาร์ซอโรพอดอีกหลายแห่งและมีจำนวนมากพอที่จะทำการศึกษาวิจัยอย่างละเอียด คณะสำรวจ ฯ จึงได้ทำการคัดเลือกนักศึกษาปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยปารีสมาทำการวิจัยในหัวข้อเรื่อง “ ไดโนเสาร์ซอโรพอด ยุคครีเตเชียสตอนต้น ของประเทศไทย ” โดยมี ดร. อิริค บุพโต และ นายวราวุธ สุธีธร เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา รายงานการวิจัยสำเร็จและได้นำเสนอเมื่อ เดือน พ.ย. 2537 พบว่าซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ซอโรพอดที่ขุดพบในประเทศไทยเป็นไดโนเสาร์สกุลใหม่ จึงได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ขอพระราชทานพระราชานุญาตอันเชิญพระนามาภิไธย เป็นชื่อไดโนเสาร์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ไม่ทรงขัดข้อง ฉะนั้นไดโนเสาร์นี้จึงมีชื่อว่า ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่,Phuwiangosaurus sirindhornae , Martin, Bbuffetaut and Suteethorn,1994 รายงานการวิจัยฉบับนี้ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเศส COMPTESRENDUS DE L A CADEMIE DES SCIENCES, T.319, serie II, sohk 1085 – 1092 เมื่อปี ค.ศ. 1994
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)